วันอังคารที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2553

การผูกดวงชะตา เลข 7 ตัว

การผูกดวงชะตา เลข 7 ตัว


การตรวจดวงชะตา

วิธีตรวจดวงชะตานั้น มีหลายวิธี แต่ในที่นี้จะใช้วิธีการแบบ เลข 7 ตัว ซึ่งเป็นวิธีที่ง่าย สะดวกสบาย แค่รู้วันเดือนปีเกิด ก็สามารถผูกดวง และบอกจังหวะเวลาของชีวิตได้แล้ว

การตรวจดวงชะตาจะมีการอ่านสองส่วน ไม่ว่าแบบไหนก็ตาม คืออ่านพื้นชะตา หรือความเป็นไปในชีวิตโดยรวม กับการอ่านชะตาจร คือ การอ่านชะตาชีวิต ณ ช่วงเวลานั้น ๆ

โดยทั่วไป เราต้องอ่านพื้นชะตาให้แตกฉานเสียก่อน

ก่อนจะอ่านพื้นชะตาให้แตกฉาน ต้องรู้วิธีผูกดวงชะตา ไม่เช่นนั้น ก็คงจะอ่านอะไรไม่ได้เหมือนกัน

การผูกดวงชะตา เลข 7 ตัว

เราใช้ วันเดือนปีเกิด ในการผูกดวงชะตา และข้อสำคัญคือ ในเบื้องต้น การผูกชะตาด้วยเลข 7 ตัวนั้น เราไม่ได้ใช้เวลาตกฟาก แต่ถ้าเป็นเบื้องลึก ๆ ขึ้นไป ก็จะมีการใช้เวลาตกฟากเช่นกัน

ในที่นี้ เอาหลักการเบื้องต้นก่อน ซึ่งเท่าที่ผมตรวจดวงชะตามา ใช้เพียงเท่านี้ ก็เพียงพอต่อการทำนาย และบริหารจัดการชะตาชีวิตแล้ว

นำเอาวันเดือนปีเกิดแบบไทย ๆ มาใช้ คือ วันอะไร เดือน(ไทย) เดือนอะไร ปี นักษัตร ปีอะไร ในที่นี้ จะให้ดี ควรตรวจสอบกับปฏิทินที่มีการนับวันเดือนปี แบบจันทรคติ

บางคนจะลงทุนซื้อ “ปฏิทิน 100 ปี” มาใช้ก็ได้ ไม่เสียหลาย เล่มละไม่กี่ตังค์หรอกครับ

ลองดูดวงนี้นะครับ คนนี้ เกิด 22 กันยายน 2510 ตรงกับ วันศุกร์ แรม 4 ค่ำ เดือน 10 ปีมะแม

เอาวัน ศุกร์ เดือน 10 ปีมะแม มาใช้ครับ

ตั้งรูปดวงได้อย่างนี้

6 7 1 2 3 4 5

3 4 5 6 7 1 2

1 2 3 4 5 6 7

----------------------------------------------------------

10 13 9 12 15 11 14

แถวบนสุดเป็นแถววัน เราใช้ 6 เพราะเป็นวันศุกร์ ถามว่า ทำไม 6 ถึงเป็นวันศุกร์ เราก็นับ วันอาทิตย์เป็น 1 จันทร์ เป็น 2 อังคาร เป็น 3 พุธ เป็น 4 พฤหัสเป็น 5 ศุกร์เป็น 6 เสาร์ เป็น 7

นับเหมือนลำดับวันในสัปดาห์ครับ

เมื่อได้ 6 แล้ว ก็เขียนเพิ่มทีละ 1 จาก 6 ก็เป็น 7 แต่พอถัด 7 แล้ว ต้องวนมาที่ 1 และนับเพิ่มทีละหนึ่ง จนครบ 7 ตัว

วิชานี้ เขาเรียกเลข 7 ตัว ครับ เลขที่ใช้ตั้งดวง จะใช้ไม่เกิน 7 และใช้แถวละ 7 หลักครับ นี่คือ กฏของเขา ถ้าเกินกว่านี้ คงไม่ได้เรียกเลข 7 ตัวแล้วล่ะ

แถวต่อมา เราใช้ เป็นแถวเดือน เราเอา เดือน 10 มาใช้ แต่เดือน 10 นั้น เกิน 7 ก็ต้องเอา 7 ลบ เหลือ 3 เราเอา 3 มาตั้ง แล้วไล่ขึ้นทีละ 1 ถ้าเกิน 7 ก็วกมาที่เลข 1 ใหม่ เขียนให้ครบ 7 หลักเช่นเดิม

ข้อสังเกตนะครับ หากว่า เรามีคนเกิด เดือน 3 เราก็ใช้เลข 3 เลย เพราะไม่เกิน 7 ดังนั้น การตั้งแถวเดือนนั้น เดือน 1 จะตั้งเหมือนเดือน 8 คือใช้เลข 1 มาตั้งเหมือนกัน เดือน 2 ใช้เหมือนเดือน 9 เดือน 3 ใช้เหมือนเดือน 10 เดือน 4 ใช้เหมือนเดือน 11 และเดือน 5 ใช้เหมือนเดือน 12

แถวที่ 3 เราใช้ปีนักษัตร เรียกว่า เป็นแถวปี ปีนักษัตร เรานับอย่างนี้นะครับ ชวดให้เป็น 1 ฉลูให้เป็น 2 ขาลให้เป็น 3 เถาะให้เป็น 4 ....ไล่ไปจนกระทั่งกุน เป็น 12

ใช้หลักเช่นเดียวกันกับแถวเดือนครับ ปีไหนมีเลข เกิน 7 ให้เอา 7 มาลบ แล้วเอามาตั้ง แล้วไล่ขึ้นทีละหนึ่ง ถ้าเกิน 7 ก็วกมานับ 1 ใหม่ จนครบ 7 หลัก

แถวที่ 4 เป็นแถวที่สำคัญมาก เราเอาตัวเลข ของแถวที่ 1 2 3 ที่ตรงกัน มาบวกได้เท่าไหร่ใส่ไปเท่านั้นครับ เท่านี้ ก็จะกลายมาเป็นดวงชะตาเลข 7 ตัว แล้วครับ

ในที่นี้ จะให้ดี และอ่านง่าย ลองขีดเส้นใต้เลข แถวที่ 3 ดูนะครับ จะได้ บวกง่าย และอ่านง่ายขึ้น

นี่คือ การผูกดวงชะตา ในรูปแบบของเลข 7 ตัว 4 ฐานครับ

ถ้าหากเรานั่งผูกไปเรื่อย ๆ จะพบว่า การผูดดวงชะตาแบบนี้ จะได้ดวงที่หลากหลายกัน เพียงแค่ 343 ดวงเท่านั้น ลองผูกดูนะครับ ไม่เกินนี้หรอก

มีคำถามว่า อ้าว แค่ 343 ดวง เองหรือ ทำไมน้อยจริง ๆ

แต่เชื่อไหมครับ แค่ 343 ดวงนี่แหละ สามารถรองรับดวงชะตา และบอกจังหวะชีวิตได้ครอบคลุมในชีวิตทุกเพศทุกวัย อย่างไม่น่าเชื่อ ในความเป็นจริง ยังมีเทคนิค “แยกแยะ” ดวงชะตา ได้อีกเยอะนะครับ เดี๋ยวผมจะค่อย ๆ บอกไปก็แล้วกัน แต่เชื่อไหมว่า แค่นี้ “เพียงพอ” ต่อการใช้งานแล้ว

มีคำกลอนที่จะมอบให้ครับ ว่าแท้ที่จริง ดวงเลข 7 ตัวนั้น

“เป็นดวงพุทธธรรมจำลองจิต ปรับมาจากแนวคิดของทักษา

ความลึกล้ำของธรรม คือ ธรรมดา อย่ายึดติดแต่ตำราเพียงอย่างเดียว

มองชีวิตเป็นดวงจิต เป็นดวงดาว ในทุก ๆ เรื่องราวที่ข้องเกี่ยว

สานชักถักเทือกเป็นเชือกเกลียว แม้ดวงเดียว แต่ยักย้ายหลายชะตา”

อ่านดวง ต้องรู้ดาว

ความสำคัญของการอ่านดวง ไม่ว่าจะสายโหราศาสตร์ หรือสาย เลข 7 ตัวก็ตาม สิ่งสำคัญคือ ต้องรู้จักดาว ให้กระจ่างแจ้ง

ดาวนี้ ไม่ใช่ดาวจริง แต่เป็นดาวที่ปรากฏในดวง ซึ่ง การพยากรณ์หลายประเภท ต้องมีดาวเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ลายมือ ก็มีสัญลักษณ์ของดวงดาวปรากฏ

ในเลข 7 ตัว ดวงดาวปรากฏเป็นตัวเลขต่าง ๆ ในชะตานั่นเอง

ต้องบอกว่า มีความสำคัญมาก เพราะความที่เข้าใจกระจ่างแจ้งในดาว จะทำให้พลิกแพลงอ่านดวงได้หลากหลายมาก และถ้ารู้เรื่องดาวเป็นอย่างดี ยังสามารถนำไปเป็นพื้นฐานในการอ่านดวงชะตาในรูปแบบอื่น ๆ เช่น โหราศาสตร์ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

ดวงดาวต่าง ๆ แทนด้วยตัวเลขและมีคุณสมบัติดังนี้

อาทิตย์ แทนด้วยเลข 1 เป็นดาวที่มีความหมายของอำนาจ ความยิ่งใหญ่ ความเป็นหัวหน้า ยศศักดิ์ ความมีมาตรฐาน กฏเกณฑ์ อาทิตย์ยังหมายถึงบิดา เป็นเจ้านาย ราชการ เกียรติยศ ศักดิ์ศรี ดวงอาทิตย์ ในความเป็นจริง คือดาวฤกษ์ที่มีความร้อน ยังเป็นตัวแทนของไฟ ความร้อน พลังงาน ได้อีกด้วย

เวลาอ่านดาวนั้น อ่านให้ละเอียด อ่านได้ตั้งแต่ คำนาม กริยา และการขยาย เพราะจะมีประโยชน์ต่อการออกคำพยากรณ์หรือคำทำนายได้อีกด้วย

เช่น อาทิตย์ คำนาม อาจจะหมายถึง หัวหน้า เจ้านาย ราชการ ความร้อน

คำกริยา จะหมายถึง ทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ มีศักดิ์ศรี ทำอะไรแบบมีมาตรฐาน ทำอะไรแบบร้อนรุ่ม

คำขยาย จะหมายถึง ร้อน หยิ่ง โอ่อ่า อำนาจฯลฯ

ถ้าเป็นสถานที่ จะหมายถึงสถานที่ที่ โอ่อ่า ใหญ่โต สถานที่ราชการ

ตรงนี้ ยิ่งดูดวงตรวจชะตาไปมาก ๆ จะยิ่งเข้าใจ และ “แตกคำพยากรณ์” ได้มากมายกว้างขวางขึ้นครับ

จันทร์ แทนด้วยดาว 2 ในความเป็นจริง เราเห็นดาวจันทร์สีเหลืองนวล สวยงาม กวีบอกว่า จันทร์หมายถึงผู้หญิง ในความหมายทางการตรวจดวงชะตา ดาวจันทร์ก็คล้าย ๆ กันนะครับ

จันทร์หมายถึง ความอ่อนโยน แม่ ผู้หญิง ของสวยงาม จิตใจ การดูแล การเอาใจใส่ ความจุกจิกจู้จี้ ความละเอียด ความอ่อนหวาน เมตตา อ่อนไหว นุ่มนวล เสื้อผ้า เครื่องประดับ ดอกไม้ เรียกว่า นึกอะไรที่เข้ากับผู้หญิงได้(ยกเว้นผู้ชาย) อ่านเป็นจันทร์ได้เกือบทั้งหมด

ข้อสังเกตคือ ดาวทุกดวงไม่ได้มีแต่ด้านดีหรือร้ายด้านในด้านหนึ่งเพียงด้านเดียว ให้มองดาวเหมือนมนุษย์ ดังนั้น ข้อดีของดาวแต่ละดวงก็มี ข้อเสียของดาวแต่ละดวงก็มีเช่นกัน อย่างดาวจันทร์ ความอ่อนโยนใจดี ก็เป็นข้อดี ความจุกจิก อ่อนไหว ก็ถือเป็นข้อเสียได้เหมือนกัน

อังคาร แทนด้วยเลข 3 ดาวดวงนี้ ในความเป็นจริงจะมีสีแดงเลือด เขาเลยเหมารวมบอกว่า อะไรที่เป็นเลือดเป็นเนื้อนี่แหละ อังคารดีนัก ดาวอังคารจะหมายถึงการต่อสู้ ทหาร ตำรวจ การรบ ปะทะ หักหาญ บาดแผล อุบัติเหตุ ความรุนแรง อารมณ์ร้อน โทสะจริต ความมุ่งมั่น ขยันขันแข็ง มีวินัย ไม่ย่อท้อ เครื่องจักร เครื่องยนต์

ดาวอังคาร ในตำราเขาว่า ร้ายมากกว่าดี แต่ใช่ว่าจะร้ายเสียทั้งหมด ข้อดีเขาก็มีเช่นกัน ต้องอ่านให้ออกและละเอียดพอสมควรในการทำนาย

ดาวพุธ แทนด้วยเลข 4 ดาวพุธหมายถึงสติปัญญาในเชิงไหวพริบ ความรวดเร็ว การติดต่อ การเดินทาง การคบหา การพูด เพื่อน การสื่อสารทุกประเภท ความลังเล เอาแน่เอานอนไม่ได้ ยังจะหมายถึงทะเล เพราะทะเล คือ เส้นทางหลักในการเดินทางในสมัยก่อน เรียกว่า อะไรที่เป็นการสื่อสาร การเดินทาง ไหวพริบ ดาวพุธแทนได้หมดทั้งสิ้น การเอาตัวรอดก็พุธ โทรศัพท์มือถือ หรือเครื่องมือสื่อสารใด ๆ ก็พุธ ถ้ามองดูให้ดีแล้ว อ่านดาวพุธได้ไม่ยากเย็นอะไรนักหรอกครับ นิเทศน์ศาสตร์ ก็เป็นคณะที่มีดาวพุธเป็นตัวแทนอยู่แล้วครับ รวมถึงหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ด้วย

ดาวพฤหัส แทนด้วยเลข 5 ดาวพฤหัสหมายถึงดาวครู ดังนั้น หลัก ๆ จะหมายถึงการศึกษา สติปัญญาที่เกิดจากการเรียนรู้ สติปัญญาที่ลึกซึ้ง (ต่างจากพุธที่เน้นไหวพริบ) พระ นักบวช ฤาษี วัด โรงเรียน มหาวิทยาลัย กระทรวงศึกษา ครูบาอาจารย์ หมอ การทักท้วง เตือนสติ (หน้าที่ของครูบาอาจารย์อยู่แล้ว) ข้อมูล ความรู้ต่าง ๆ เมตตาแบบชี้แนะ ช่วยเหลือ แบบผู้ใหญ่ช่วยเด็ก โชค โอกาส ผู้ใหญ่เมตตา

ส่วนใหญ่ คนจะชอบดาวพฤหัส เพราะดีหลายอย่าง แต่ในความเป็นจริง ข้อเสียก็มี เช่น มีสติปัญญา แต่ใช้เยอะมากไป ก็กลายเป็นคิดมาก ทักท้วงบางที ก็กลายเป็นรำคาญ ไม่ราบรื่น ก็มี

ดาวศุกร์ แทนด้วยเลข 6 ดาวศุกร์เป็นดาวแห่งความงาม แต่งามต่างจากจันทร์ ศุกร์จะงามแบบเร้าอารมณ์ ยั่วกิเลส หมายถึงทรัพย์สิน เงินทอง ของฟุ่มเฟือย ความรัก ความปราถนา ความโลภ ราคะ ความรื่นรมณ์ยินดี ความปราถนาดี ดาวศุกร์ในตำราผม ถือว่าเป็นดาวพระโพธิสัตว์ เพราะมีความปราถนาดีต่อมวลสัตว์โลกแฝงอยู่ด้วย ความเฉื่อยชา ขี้เกียจ ความสุขสบาย ธนาคาร (เพราะเป็นสถานที่เกี่ยวกับเงิน) แฟชั่น วงการบันเทิง ดารา นักแสดง อัญมณี และเสื้อผ้าหรูหราราคาแพง กระทรวงการคลัง สันติสุข ไม่เบียดเบียน เสน่ห์

ไม่รู้จะเขียนยังไงให้หมดนะครับ ถ้าอ่านดาวแตกฉาน จะแตกแขนงได้เรื่อย ๆ ครับ

ดาวเสาร์ แทนด้วยเลข 7 หมายถึงความทุกข์ ความกังวล ความอดทน ความอึด ประหยัด มัธยัสถ์ ความลำบาก ความเศร้า กรรมกร ชาวไร่ชาวนา ชาวบ้าน พลเมือง ดาวเสาร์เป็นดาวที่เดินช้า ในหมู่ดาวเคราะห์ที่คนมองเห็นด้วยตาเปล่า จึงหมายถึงความเชื่องช้า เก่า แก่ นาน เป็นดาวที่ไม่ค่อยมีคนชอบ แต่ในความเป็นจริง หากดาวเสาร์ให้คุณในชะตานั้น บางคนถึงขั้นเป็นเศรษฐีได้เหมือนกัน ใครได้แฟนที่มีดาวเสาร์เป็นคุณสมบัติ จะได้แฟนแก่ ไม่งั้นก็คิดมาก ขี้กังวล

ดาวราหู แทนด้วยเลข 8 ดาวดวงนี้ ในเลข 7 ตัว ไม่ปรากฏให้เห็นโดยตรง เพราะตั้งดวง ก็ใช้แค่ เลข 1-7 เท่านั้น แต่อาจจะปรากฏในผลบวกแถวที่ 4 ก็เป็นไปได้ ราหูเป็นดาวที่ไม่ใช่ดาว แต่เป็นเหมือนเงาคราส ราหูจึงเป็นตัวแทนของ ความคลุมเครือ ไม่ชัดเจน เอาแน่เอานอนไม่ได้ ยังหมายถึงความเจ้าอารมณ์ ความสามารถพิเศษ การพลิกแพลงแบบปาฏิหารย์ ความลุ่มหลงมัวเมา อบายมุข การถ่ายรูป( เพราะราหูเป็นเงานี่ครับ) เครื่องดองของเมา ยาเสพติด(พวกนี้ทำให้เกิดความลุ่มหลงคลุมเครือเห็นผิดเป็นชอบดีนัก) การเสี่ยง โชคแบบฟลุ้ค ๆ การเปลี่ยนแปลง

ดาวพระเกตุ แทนด้วยเลข 9 นี่ก็เป็นดาวที่ไม่ปรากฏในดวงโดยตรง แต่จะมีส่วนปรากฏในผลบวก แถวที่ 4 จะหมายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ความฟุ้งซ่าน สมาธิ โชคแบบมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเหลือ เซนส์ สัมผัสที่ 6 ของจากอดีต ความคดเคี้ยว เลื่อนลอย เกตุนี่ เป็นเลข ศักดิ์สิทธิ์ เพราะเลข 9 นั้น มีความแปลกในตัวเองอยู่แล้ว ใครที่มีพระเกตุสัมพันธ์ดีกับชะตา น่าจะทำอะไรประหลาด ๆ ได้เยอะ เกตุยังหมายถึงการเดินทาง ต่างประเทศ ทางไกล การค้นหา เพราะเป็นดาวที่ไม่ปรากฏอยู่จริง ราหูว่า ไม่เป็นตัวดาวแล้ว แต่ยังมีเงาให้เห็น แต่เกตุนี่ไม่มีให้เห็นเลย จึงเป็นตัวแทนของการค้นหา การเดินทาง โดยปริยาย เกตุยังหมายถึงความสูงสุด เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มักจะเป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนเคารพสูงสุด ตราอุณาโลม อักขระยันต์ ก็มักจะมีอักขระที่คล้ายเลข 9 ไทย ตัวแทนของพระเกตุอยู่เสมอ ๆ

มฤตยู แทนด้วยเลข 0 เลขนี้ ไม่ปรากฏในตัวดวง แต่ผลบวก ถ้ามีผลบวกแถวที่ 4 ได้เลข 10 หรือ 20 ก็จะมีดาวมฤตยูแฝงอยู่ในชะตา เช่นกัน มฤตยู ในทางดาราศาสตร์ คือดาวยูเรนัส ที่เป็นดาวที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า มฤตยูจึงหมายถึง มี แต่มองไม่เห็น ตรงนี้ไม่เหมือนพระเกตุที่หมายถึงเห็น แต่ไม่มี มฤตยูจะหมายถึงอนาคต เพราะอนาคตเป็นสิ่งที่มี และยังไงก็มี แต่เรามองไม่เห็น แต่มาไม่ถึง ส่วนเกตุจะหมายถึง อดีต เพราะอดีต คือสิ่งที่เห็น ร่องรอย แต่ไม่มีอยู่แล้ว

มฤตยูหมายถึงนวัตกรรม เทคโนโลยีทันสมัย การเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลัน อุบัติขึ้นแบบไม่รู้ตัว รุนแรง การเดินทาง(ตรงนี้เหมือนเกตุ เพราะเป็นดาวที่หาไม่เจอเลยกลายเป็นเดินทางไว้ก่อน) การคิดค้น(ต่างจากเกตุที่แปลว่าค้นคว้า) มฤตยูเป็นดาวที่ถือว่า “ตาย” เพราะตายจากสายตา เพราะในตัวดาวจริง ๆ มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น และเมื่อเอามารวมกับความหมายของการเปลี่ยนแปลงฉับพลัน ก็มักจะแปลว่า อุบัติภัยร้ายแรง ดาวมฤตยูยังหมายถึงความเร้นลับ และผี วิญญาณอีกด้วย เพราะดาวจริง ๆ มันมองไม่เห็นด้วยตาเปล่านี่แหละ (แต่ใช้กล้องยังเห็นนะครับ) เลยจะเหมารวมว่า เร้นรับ แต่ยังพอเข้าถึง มฤตยูเลยเป็นผีไปเลย ต่างจากเกตุที่เร้นลับ และเข้าไม่ถึง เลยกลายเป็นเร้นลับแบบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไป

กำลังของดวงดาว

ทุกสรรพสิ่ง ประกอบด้วยสสาร และพลังงาน กฏเกณฑ์นี้ ใช้กับดวงดาวในชะตาได้ด้วยนะครับ

เลขที่เป็นตัวแทนดาว หมายถึง “รูป” แต่ดาวแต่ละดวง ยังมี กำลัง หรือพลัง ซึ่งแต่ละดวงมีพลังไม่เท่ากัน ในทางโหราศาสตร์ และเลข ๗ ตัว ก็ใช้กำลังดาวนี้ เป็นประโยชน์ ในการอ่านและแก้ดวงชะตาเช่นกัน

เวลาแก้ดวงชะตา บางที เขาให้จุดธูป หกดอก สิบสองดอก สิบเก้าดอก ฯลฯ บางครั้ง การจุดธูป นี่แหละ คือ การบ่งบอกถึงความหมายในการแก้ดวงชะตา เพราะมักจะจุดตามกำลังดาว

แต่ถ้าจุดธูปเป็นเลขอื่น ๆ เช่น ๓ ๕ ๗ ก็จะมีความหมายในด้านอื่น ๆ นะครับ เช่น บูชาพระต้อง ๓ ดอก หมายถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นต้น

กำลังดาว คือ ตัวแทน ของดาวดวงนั้น ๆ ในแง่ของพลังงาน ต้องจดจำให้ดี

ดาวนั้น เขาแบ่งออกเป็นศุภเคราะห์ กับบาปเคราะห์ ในความหมาย ของคำพูด คนทั่วไปจะคิดว่า ศุภ กับบาป หมายถึงดีร้าย แต่ในความเป็นจริง ศุภะ แปลว่า สูง บาป แปลว่าต่ำ เขาแบ่งตามกำลังดาวครับ บาปเคราะห์ จะมีกำลังดาวในระดับที่ต่ำกว่า ศุภเคราะห์จะมีกำลังดาวที่สูงกว่า ขนาดสูงสุดในบาปเคราะห์ ยังมีกำลังน้อยกว่า ต่ำสุดของศุภเคราะห์เลยครับ

ศุภเคราะห์ จันทร์ กำลัง ๑๕ พุธ กำลัง ๑๗ พฤหัส กำลัง ๑๙ ศุกร์ กำลัง ๒๑

บาปเคราะห์ อาทิตย์ กำลัง ๖ อังคาร กำลัง ๘ เสาร์ กำลัง ๑๐ ราหู กำลัง ๑๒

เกตุกับมฤตยู มีตวามพิเศษ คือ เกตุ มีกำลังเท่ากับรูป คือ ๙ ส่วน มฤตยู ไม่มีกำลัง คือ ๐ บางคนจัดว่า เป็นบาปเคราะห์ แต่บางตำรา ไม่จัดในหมวดหมู่ใด

เวลาแก้ดวงชะตา สมมติว่าต้องแก้ดาวเสาร์ กำลังนี้สำคัญนัก อย่างเช่น เวลาปล่อยปลา ก็ปล่อย ๑๐ ตัวตามกำลังเสาร์

หรือเสริมดวงชะตาก็เช่นกัน เช่น สวดมนต์ ๑๙ จบ ก็ถือว่า สวดตามกำลังดาวพฤหัส เป็นต้น

ไม่ว่าอย่างไร ก็คงต้องจำไว้นะครับ เพราะเป็นประโยชน์แน่ ๆ

ธาตุกับดาว

ธาตุคือ คุณสมบัติที่เป็นองค์ประกอบภายในสิ่งนั้น ๆ ธาตุของดาว คือคุณสมบัติเบื้องต้นของดาวต่าง ๆ นั่นเอง

เราใช้ธาตุทั้ง 4 ตามความเชื่อในปรัชญาเป็นเกณฑ์ นั่นคือ ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ

ธาตุทั้ง 4 ถือเป็นมาตรฐาน แต่ภายหลัง ปรัชญาทางสายศาสนายังเพิ่ม ธาตุอากาศ (ความว่าง) และธาตุวิญญาณ(ความรู้สึกนึกคิด)เข้าไปอีก

อย่างไรก็ดี อย่าเอาไปสับสนกับธาตุตามความหมายทางวิทยาศาสตร์ เขานะครับ อันนั้น คือ ธาตุที่เป็นสสารจริง ๆ แต่ ในทางปรัชญา เขาถือว่า ธาตุคือ “สภาวะ”

เขาจัดหมวดหมู่ดังนี้นะครับ

ธาตุดิน จันทร์ พฤหัส

ธาตุน้ำ พุธ ศุกร์

ธาตุลม อังคาร ราหู

ธาตุไฟ อาทิตย์ เสาร์

อากาศธาตุ มฤตยู

วิญญาณธาตุ เกตุ

ในดวงเลข 7 ตัวนั้น ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ใช้เยอะหน่อยนะครับ ต้องจำให้ดี ยังสามารถใช้ในการทำนายดวงชะตาได้อีกด้วย ถ้าเข้าใจและแตกฉาน

มีกลอนช่วยจำ สำหรับธาตุทั้ง 4 และดวงดาวนะครับ

อาทิตย์เสาร์ ไฟกาฬ ผลาญสิ้น

ธาตุดิน จันทร์ครู เป็นคู่สม

อังคาร ราหู คู่ธาตุลม

พุธนิยม ศุกร์สะอาด ธาตุวารี

คำว่าครู ในที่นี้ หมายถึงดาวพฤหัส เพราะถือเป็นดาวครูนะครับ

แต่ละดาวแม้ธาตุเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้เหมือนกันเสียทีเดียวนะครับ อย่างเช่น อาทิตย์ กับเสาร์ ธาตุไฟเหมือนกัน แต่ไฟอาทิตย์ เป็นไฟชี้นำ ไฟสว่าง ไฟความร้อน เป็นไฟที่ลุกเปลวจริง ๆ เลยเป็นไฟอำนาจ ไฟที่เป็นบ่อเกิดแห่งพลัง แต่เสาร์ นี่ไฟ แบบไฟในทรวง ร้อนรน กลัดกลุ้ม ร้อนอกร้อนใจ หงุดหงิด กังวล อาทิตย์เขาเป็นไฟลุกเปลว แต่เสาร์เป็นไฟคุ ไฟสุม ยังไม่ถึงกับลุก แต่ก็แดงวาบมากแล้ว

จันทร์กับพฤหัส แม้เป็นธาตุดินเหมือนกัน แต่จันทร์เขาดินชุ่ม ดินเพาะปลูก ต้นไม้ต้นไร่ ขึ้นดีนัก เลยเป็นความหมายของการเลี้ยงดู การดูแล ความเมตตา แต่พฤหัสเหมือนดินแห้ง เอามาใช้ปั้นหม้อปั้นไหดีนัก เป็นดินที่ใช้ทำถ้วยชาม ปั้นโน่นปั้นนี่ไปตามเรื่องตามราว อันเป็นความหมายของการฝึกฝน ฝึกหัด ปั้นดินเป็นดาว อะไรทำนองนั้น พฤหัสเลยเป็นดินแบบส่งเสริมคุณค่า เป็นความหมายของคำว่าครู หรือผู้ฝึกสอน ฝึกหัดคน

อังคารกับราหู เป็นธาตุลมที่ต่างกัน อังคารเป็นลมพายุ ลมแรง พัดบ้านพัดช่องพัง มาทีนึงทุกอย่างพังราบ เลยเป็นความหมายของการทำลาย โทสะ พังพินาศ ราหูเป็นลมแบบพัดหวน เอาแน่เอานอนไม่ได้ บางทีหอบฝุ่นผงคละคลุ้ง พอให้ขัดเคืองตา ถ้าจะเปรียบเทียบไป ราหูเหมือนลมในความหมายของ “อารมณ์” มากกว่า ที่เขาว่า รมณ์บ่จอย นี่น่าจะเป็นลมราหูมากกว่าอังคารนะครับ ราหูเลยกลายเป็นความคลุมเครือ ผันผวน เจ้าอารมณ์ แบบนึกจะพัดไปทางไหน ก็พัด ไม่ได้มีความแน่นอน

พุธกับศุกร์ ก็เป็นธาตุน้ำกันคนละแบบ พุธนี่ น้ำแบบน้ำทะเล ใช้เสพไม่ได้ แต่ใช้เป็นทางคมนาคมสื่อสารดีนัก ทะเลคือความไม่แน่นอน พุธเลยเหมือนชอบลังเลในบางที ทะเลนั้นกว้างขวาง เหมือนไหวพริบสติปัญญาของดาวพุธ ที่ปรับตัวได้ไม่มีที่สิ้นสุด ส่วนศุกร์ เป็นน้ำนิ่ง น้ำในบ่อ น้ำสะอาด น้ำจืด ดื่มกินได้ให้เกิดความชื่นใจ หล่อเลี้ยงพืชพรรณต่าง ๆ เหมือนกับ ราคะ ความอยาก ความสุข เป็นสิ่งที่ทุกคนถวิลหา

พระเกตุเป็นวิญญาณธาตุ จริง ๆ ตามภาษาพระสายปฏิบัติ พระเกตุคือ “ธาตุรู้” สติสัมปชัญญะ เป็นธาตุของชีวิต และไม่ใช่ชีวิตชั้นต่ำด้วย ต้องเป็นชีวิตชั้นสูง ถึงจะมีสติสัมปชัญญะ รู้ตัวตลอด อะไรทำนองนี้

มฤตยู เป็นอากาศธาตุ คือความว่างเปล่า ความเวิ้งว้าง ความไม่มีอะไร ช่องว่างที่ถมไม่เต็ม เป็นตัวแทนความอยากรู้อยากเห็น อยากค้นคว้า เพราะความอยากรู้ของมนุษย์ไม่มีที่สิ้นสุด จะเห็นว่า พระเกตุกับมฤตยู เป็นธาตุที่มีเฉพาะมนุษย์เท่านั้น รับรู้ได้เฉพาะมนุษย์

ความรู้เรื่องธาตุมีประโยชน์ในหลาย ๆ แง่

เอาง่าย ๆ บางคนถามว่า คนเกิดปีชวด กับคนเกิดปี มะแม ต่างกันอย่างไร ในแง่ดวงเลข ๗ ตัวนั้น ใช้เลข ๑ เหมือนกัน เราก็ใช้ความรู้เรื่องธาตุนี่แหละมาบอกได้ เลข ๑ เป็นดาวอาทิตย์ธาตุไฟ มาดูสิครับ ปีชวดปีหนู กับปีมะแมปีแพะ สัตว์สองประเภทนี้ ประเภทไหนชอบแสงสว่างมากกว่ากัน นี่ก็อาจจะพอมองความต่างได้แบบ ง่าย ๆ นี่แหละครับ

หรืออย่างการนำเลข 7 ตัวมาใช้ปรับชัยภูมิ หรือแก้ฮวงจุ้ย ถ้าอ่านได้ว่าสถานที่นั้น ๆ มีปัญหา เราจะสามารถอ่านได้ตามธาตุว่า มีปัญหาเรื่องอะไร และแก้อย่างไร โดยอาศัยความรู้เรื่องธาตุนี่แหละ



ความสัมพันธ์ระหว่างดาว

ต้องมาร์คตัวโต ๆ ไว้นะครับ สำหรับหัวข้อนี้ เพราะสำหรับวิชาเลข 7 ตัวนั้น สำคัญมาก คนที่เก่งเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างดวงดาว จะสามารถทำนายเลข 7 ตัวพลิกแพลงได้ไม่มีที่สิ้นสุด คนที่มองว่า เลข 7 ตัวนั้นไม่มีอะไร ก็เพราะว่า ไม่รู้เคล็ดลับที่ลึกซึ้ง เคล็ดที่สำคัญก็คือ ความสัมพันธ์ดาวนี่แหละครับ

เลข 7 ตัว ใช้ความสัมพันธ์ในเชิงกระทบดาวบ่อยครั้งมาก ทั้งการอ่านทำนายพื้นดวง และอ่านดวงจร ลองมองดวงนี้ก็ได้ครับ

ดวงนี้ เกิดวันอาทิตย์ เดือน 6 ปีขาล

ใช้เลข ๑ (วันอาทิตย์) เลข ๖ (เดือนหก) เลข ๓ (ปีขาล) เอามาตั้งดวงนะครับ

๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗

๖ ๗ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕

๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๑ ๒

---------------------------------------------------------------------------

๑๐ ๑๓ ๙ ๑๒ ๑๕ ๑๑ ๑๔

เราลองมาดู เลข ๕ ที่แถวปี นะครับ ถ้าเป็นคนอ่านดวงแต่ผิวเผิน อาจจะมองแค่ว่า ๕ ทำหน้าที่อะไรบ้างตามนิยาม ความหมายในแต่ละหลัก และเพราะเป็นดาว ๕ ก็มีคุณสมบัติ เป็นดาวครู แล้วก็จบแค่นั้น

แต่ในความเป็นจริง ๕ นี่ กระทบได้กับเลข ทุกหลักทุกตัวเลยล่ะ ทำให้พยากรณ์ได้กว้างขวางเข้าไปอีก เช่น เอา ๕ กระทบกับ ๑ ในแถวที่ ๑ แถววัน จะหมายถึงอะไร ๕ แถวที่ ๒ กระทบกับ ๒ ในแถวปี จะหมายถึงอะไร

โห กระทบกันได้ทั่วดวงเลยนี่ ทำให้ทายกันสนุกสนานมากกว่าเดิมเยอะ

ขอเพียงอย่างเดียวเท่านั้น อย่าเป็นแถวเดียวกันก็พอ เช่น ๕ แถวเดือน ไม่ควรกระทบกับ ๖ แถวเดือน เป็นต้น

ดังนั้น ต้องเรียนเรื่องดาวกระทบกันเสียก่อนนะครับ จะทำให้ทายได้ลื่นไหล มีเสน่ห์ และแตกแยกดวงได้มากขึ้น มองเห็นความต่างของดวงที่ดูแล้วตั้งคล้ายกันได้

คู่มิตร

ความสัมพันธ์ดาวสิ่งแรก คือ ความสัมพันธ์เชิงคู่มิตร คำว่า “มิตร” ก็คือ เพื่อน เป็นเพื่อนกันมันก็ย่อมจะเป็นความสัมพันธ์ในทางดีอยู่แล้วใช่ไหมละครับ

ให้แตกความหมายต่ออีกหน่อยนะครับ นึกถึงเพื่อน เรานึกถึงอะไรบ้าง ความถูกคอ ถูกใจ เฮไหนเฮนั่น ใช่ไหมล่ะครับ ทั้งยังหมายถึงความรัก ความชื่นชอบ ความรู้สึกอุ่นใจ

เพื่อนคือคนที่เราคุยกันได้ทุกเรื่อง คุยกันรู้เรื่อง มีความรู้สึกดี ๆ ให้กันอีกด้วย

ดาวก็เหมือนกับคนนั่นแหละครับ

มาดูดาวคู่มิตรกันนะครับว่ามีอะไรบ้าง

อาทิตย์ เป็นมิตรกับ พฤหัส

จันทร์ เป็นมิตรกับ พุธ

อังคาร เป็นมิตรกับ ศุกร์

เสาร์ เป็นมิตรกับ ราหู

มีกลอนที่พูดถึงเรื่องนี้ไว้นะครับ

อาทิตย์ เป็นมิตรกับครู จันทร์โฉมตรู คู่พุธนงเยาว์

ศุกร์ปากหวาน อังคารรับเอา ราหูกับเสาร์ เป็นมิตรแก่กัน

แปลง่าย ๆ นะครับ มิตรแปลว่า ชอบ สมมติว่า เราตั้งดวง เลข ๗ ตัว มีดาวตนุที่หมายถึงตัวตน เป็นดาวศุกร์ ดาวอังคารเป็นดาวปาก (อดใจรอนะครับ ถัดจากเรื่องดาวสัมพันธ์ ก็จะบอกกันแล้ว ว่า ดาวตำแหน่งต่าง ๆ ของดวงชะตาเลข ๗ ตัวนั้น มีอะไรบ้าง)

ถ้าเจอดวงแบบนี้ เราบอกได้เลย ว่า ตัวตนของเขา (ตนุ) ชอบ (ดาวคู่มิตรอังคารศุกร์) ใช้ปาก

การใช้ปากก็มีสองอย่างแหละครับ คือ พูดกับกิน แต่ใครจะใช้ในเรื่องไหนอีก ก็สุดแท้แต่ ทั่ว ๆ ไปเขาใช้พูดกับกิน ดังนั้น บอกได้เลยว่า คน ๆ นี้ ไม่กินเก่ง ก็พูดเก่ง

จะเห็นว่า ถ้ารู้สัมพันธ์ดาว จะยิ่งทำให้ทายง่ายขึ้นอีกครับ

ดาวเร้นลับอย่าง พระเกตุ กับมฤตยู ไม่มีตำราว่าเป็นมิตรกับใครชัดเจน ก็ถือว่า กลาง ๆ ไม่เป็นมิตรศัตรูกับใครเขาทั้งนั้นแหละ

ดาวกับชีวิตคนนั้นมีความคล้ายกัน มองดูให้ดีนะครับ อาทิตย์เป็นมิตรกับครู เพราะอาทิตย์คือความเป็นมาตรฐาน หลักการ พฤหัสเป็นสติปัญญาการเรียนรู้ สองสิ่งนี้ ไม่สอดคล้องต้องกันไปด้วยกันไม่ได้ ก็กระไร หรืออย่างเสาร์ที่หมายถึงความทุกข์กังวล เจอราหู ที่หมายถึงความลุ่มหลง อบายมุข นี่ไปด้วยกันได้ดีนัก ศุกร์กับอังคารคู่มิตร เพราะศุกร์ชอบสบาย อยากได้โน่นได้นี่ อังคารเขาเป็นดาวขยัน ทำอะไรรวดเร็วทันใจ ศุกร์ไม่ชอบไม่อยากเป็นเพื่อนด้วยก็กระไรใช่ไหม ในทางมุมกลับ อังคารเขาใจร้อน โทสะแรง แต่ศุกร์เขาไม่ค่อยโกรธ มีความปราถนาดีให้ คนอารมณ์รุนแรง ก็ชอบสิครับ

ดาวคู่มิตร จะช่วยส่งเสริมบุคลิกภาพในทางดีของดาวนั้น ๆ ส่งออกมามากขึ้น เช่น อังคารเจอศุกร์ ก็จะเป็นอังคารที่ขยันขึ้น กล้าขึ้น แต่ลดความมุทะลุลง ศุกร์ก็จะยิ่งส่งความรักออกไปมากขึ้น และลดความเฉื่อยชาของตัวเองลงไปครับ

ชีวิต คือ จิต คือดวงดาว มองทุก ๆ เรื่องราว ที่ข้องเกี่ยว จะทำให้อ่านดวงรู้ดวงได้ง่ายครับ

คู่ศัตรู

มีดาวคู่มิตรก็ต้องมีดาวคู่ศัตรู มีชอบก็มีเกลียดกันเป็นธรรมดา คนที่เกลียดกันเขาทำไงกันบ้างล่ะครับ อย่างต่ำ ๆ ก็อาจจะไม่ถูกชะตา ไม่ใส่ใจ ไม่สนใจ แต่อย่างแรง ก็คงตั้งป้อม ทำร้ายกัน ลุยกันเลยล่ะ บางทีก็ขัดขวางกัน สร้างอุปสรรคให้กันเสียอย่างนั้น ตามประสาว่าเกลียดมากเกลียดน้อย

ดาวคู่ศัตรู เขามีดังนี้ครับ

อาทิตย์ เป็นศัตรูกับ อังคาร

พุธ เป็นศัตรูกับ ราหู

ศุกร์ เป็นศัตรูกับ เสาร์

จันทร์ เป็นศัตรูกับ พฤหัส

มีกลอนอีกแล้วครับ

อาทิตย์ ผิดกับอังคาร พุธอันธพาล วิวาทราหู

ศุกร์ กับเสาร์ เป็นเสี้ยนศัตรู จันทร์กับครู เป็นอริแก่กัน

วิธีอ่านดาวคู่ศัตรูนั้น นอกจากจะมองว่า “เกลียด” กันแล้ว ให้มองว่า ดาวคู่ศัตรู จะยิ่งทำให้บุคลิกภาพทางลบของดาวนั้น ๆ ถูกเร่งแสดงออกมามากขึ้น

อย่างพุธกับราหูนะครับ พุธข้อเสียของเขา คือโลเล ราหูข้อเสียเขาคือ คลุมเครือ เจ้าอารมณ์ เจอหน้ากัน ปุ๊บ ราหูก็หงุดหงิดกับความโลเลของพุธ ยิ่งอารมณ์เสียหนักขึ้น พุธก็ไม่ชอบความเจ้าอารมณ์และคลุมเครือของราหู ก็จะยิ่งโลเล มากขึ้น

หรืออย่าง ศุกร์เป็นดาวเรื่อย ๆ เฉื่อย ๆ เจอคู่ศัตรูอย่างเสาร์ ที่ขี้กังวล อมทุกข์ ศุกร์เห็นความทุกข์ก็ไม่ชอบ ก็จะยิ่งเฉื่อยเอือยขึ้น ไม่ตอบสนองอะไร เสาร์เห็นศุกร์ไม่ตอบสนองอะไร ก็ยิ่งกลุ้มกังวลหนักขึ้น ไปกันใหญ่

คู่ศัตรูนี่ ไม่เหมือนคู่มิตรอีกอย่างหนึ่งนะครับ นั่นคือ เขาจะมีความเกลียดเป็นระดับ ๆ อย่างอาทิตย์อังคารนี่ ถือเป็นคู่อาฆาต เกลียดกันมากที่สุด เจอกันที จะต้องหักหาญกันรุนแรง ขัดขวางกันที ก็รุนแรง คู่ที่เกลียดกันเบาที่สุด จนบางคนไม่นับเป็นดาวคู่ศัตรูกันเลย คือ คู่ดาวจันทร์ พฤหัส ไม่ถูกใจกัน อย่างมากก็เฉย ๆ กันไป รำคาญบ้างนิดหน่อย แต่ดาวสองดวงนี้ ความสัมพันธ์ในเชิงคู่ธาตุ นั้นมีมากกว่า ส่งคุณแรงกว่าด้วยนะครับ

คู่สมพล

เอาล่ะสิ มีคู่มิตร คู่ศัตรู แล้วทำไมมีคู่สมพลอีกละเนี่ย คำว่า สมพล นี่แยกออกมาได้เป็น “สม”ที่หมายความว่า “เหมาะสม” กับคำว่า “พล” ที่แปลว่า พลัง

สมพล จึงหมายถึง พลังเหมาะสมกัน เป็นความสัมพันธ์ในทางดี แต่บางทีก็ไม่ดีเหมือนกัน แล้วแต่โอกาส

ลองมาดูดาวคู่สมพลกันนะครับ ว่ามีอะไรบ้าง

อาทิตย์ คู่สมพลกับ ศุกร์

จันทร์ คู่สมพลกับ ราหู

อังคาร คู่สมพลกับ พฤหัส

พุธ คู่สมพลกับ เสาร์

มีกลอนอีกแล้วครับ

อาทิตย์สมพลกับศุกร์ จันทร์คู่ทุกข์ สมพลราหู

อังคาร สมพลกับครู พุธโฉมตรู คู่เสาร์สมพล

อยากจะเรียกว่า ดาวคู่สมพลนั้น เป็นดาวคู่ที่เน้นไปทาง “การลดทอนพลัง” กันมากกว่า

อย่างเช่น อาทิตย์ เขาเป็นดาวธาตุไฟ มีความร้อน เย่อหยิ่ง เจอดาวศุกร์ ดาวธาตุน้ำ อาทิตย์ ก็จะคลายความร้อนลง คลายความเย่อหยิ่งลง มาตรฐานต่าง ๆ ที่อาทิตย์เขาตั้งไว้ ก็อาจจะลดถอยด้อยลงไป ดาวศุกร์ที่ราคะแรงสบาย ๆ เย็น ๆ ก็จะเป็นดาวศุกร์ที่ร้อนขึ้น หักห้ามใจตัวเองได้ดีขึ้น เห็นแก่กฏเกณฑ์และมาตรฐานมากขึ้น แทนที่จะเอาแต่สบาย ๆ เพียงอย่างเดียว

ถ้าจะแปลให้ดี คู่สมพล คือ คู่ปรับตัวนั่นเอง ดาวอังคารที่มุทะลุ โกรธง่าย เจอครูเจอพระอย่างดาวพฤหัส สั่งสอนบ่อย ๆ เข้า ก็จะปรับตัว ปรับปรุงให้ตัวเองโกรธน้อยลง ดาวพฤหัสที่คิดมาก ลึกซึ้งมาก เจอดาวอังคารที่ทำอะไรรวดเร็วเข้าไป ก็จะปรับปรุงตัวเอง ทำให้คิดน้อยลง ทักท้วงน้อยลง ขี้บ่นน้อยลง

แต่ดาวพฤหัสเจออังคารมาก ๆ บางที กลายเป็นพฤหัสที่ขาดความรอบคอบ ขาดความลึกซึ้งไปเลยก็มี ดาวอังคารเจอพฤหัสมาก ๆ ความฉับไวของอังคาร ก็ลดลงไปเลยก็มี

อย่างนี้ เรียกว่า ไม่ค่อยดีเท่าไหร่

แต่นึกไม่ออก ให้ทายว่า ปรับตัว ไว้ก่อนนะครับ ไม่ผิด

คู่ธาตุ

เคยพูดถึงไปแล้วนะครับ มาพูดอีกครั้ง คงต้องคุยกันในเชิงการทำนาย หรือความหมาย ถ้าดาวเป็นคู่ธาตุกัน ให้ทายว่า มีการ “สนับสนุน” หรือ “ส่งเสริม” กันเกิดขึ้น นับเป็นความสัมพันธ์ในทางดีครับ

ในความสัมพันธ์ด้านดีของดาว เขาเทียบกันอย่างนี้นะครับ ดาวคู่มิตร เหมือน เพื่อนฝูงคลุกคลีตีโมง

ด้วยกันแต่เล็กแต่น้อย ดาวคู่ธาตุ เหมือนญาติพี่น้อง ดาวคู่สมพล เหมือนเพื่อนร่วมงาน ถ้าจะทำการทำกิจอะไรสักอย่าง หากเจอดาวคู่มิตรช่วย ก็เหมือนเพื่อนช่วยเพื่อน เต็มที่ ไม่คิดมาก ลุยกันแบบถึงไหนถึงกัน แต่ท้ายสุดก็เพื่อน ถ้าเจอดาวคู่ธาตุช่วย ก็จะเหมือนญาติพี่น้องคนในครอบครัวลงแรงแข็งขันกัน ถ้าเจอดาวคู่สมพล ก็จะเหมือนเพื่อนในที่ทำงาน ปลีกเวลามาช่วยเหลือกันนิดหน่อย ทำอะไรก็เกรงใจกันนิด ๆ เพราะเพื่อนที่ทำงานนี่ครับ สนิทน้อยที่สุด

แต่ท้ายสุด ก็ช่วย แต่ช่วยแบบไหน นั่นอีกเรื่อง



ความสัมพันธ์ในดาวคู่ต่าง ๆ

นอกเหนือจากคู่มิตร คู่ศัตรู คู่ธาตุ คุ่สมพล แล้วนะครับ ความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นไปตามกฏ ดังที่กล่าวมาแล้ว ก็ยังสามารถนำมาใช้ทำนายได้อีก

เดี๋ยวจะจับคู่ให้ดูเป็นคู่ ๆ นะครับ

๑+๒ อาทิตย์ คู่จันทร์ บางตำราว่า คู่ครัวเรือน เพราะอาทิตย์หมายถึงพ่อ จันทร์หมายถึงแม่ คู่กัน ก็กลายเป็นคู่ครอบครัวคู่ครัวเรือน คนที่เป็นครอบครัวกัน ก็ต้องมีกระทบกระทั่ง ถกเถียง กันเป็นธรรมดา แต่ก็ดูแลซึ่งกันและกัน ตัดไม่ตายขายไม่ขาด ก็เป็นคู่ผัวตัวเมียกันนี่ครับ ถ้าดาวคู่นี้เจอกัน บอกได้เลย ยังไงก็เถียงกันแน่ แต่ไม่รุนแรง และเป็นไปในทางที่เอื้อประโยชน์ต่อกันมากกว่า บางตำราว่า เป็นคู่ความเห็นไม่ตรงกัน คู่ประชุม อะไรทำนองนี้แหละครับ อาจจะมีการริเริ่มทำอะไรด้วยกันสักอย่าง แต่ยังไม่พร้อมนัก ยังต้องถกเถียงกันก่อน

๑+๓ อาทิตย์อังคาร ดาวคู่ศัตรู ส่งผลในเชิงปะทะ หักหาญ บาดเจ็บ ผันผวน บั่นทอนกันรุนแรง ตามแบบดาวคู่ศัตรู และแถมยังเป็นศัตรูแบบโกรธกันรุนแรงเสียด้วย

๑+๔ อาทิตย์คู่พุธ ตามตำราว่าเป็นคู่สัญญา เพราะพุธ คือสื่อสาร อาทิตย์มาตรฐาน สื่อสารที่เป็นมั่นเป็นเหมาะกันก็เท่ากับมีสัญญาให้กัน ตรงนี้เป็นข้อดี แต่ข้อเสีย คือ พุธเขาชอบพลิ้ว แต่อาทิตย์ที่ค่อนข้างยึดถือในกฏจะทำให้พุธพลิ้วยากสักหน่อย อีกตำรา เขาว่า ดาวคู่นี้ เป็นดาวคู่ปัญญา พลิกแพลงกฏระเบียบได้เก่ง

แต่ผมมักจะใช้ในความหมายของดาวคู่สัญญาเสียมากกว่าด้านอื่น ๆ นะครับ

๑+๕ ๑+๖ ดาวสองคู่นี้ คือดาวคู่มิตรคู่สมพล ดังที่เคยว่าไว้แล้ว ความหมายก็ในทางชื่นชอบ ปรับตัว ตามแต่สภาพ ๑+๕ อาจจะเรียกว่า คู่ลุ่มลึก ก็ได้ หมายถึงความลึกซึ้งของสติปัญญาที่สอดคล้องต้องกันกับกฏระเบียบ ส่วน ๑+๖ นี่หมายถึงคู่ทรัพย์ ก็ได้ ความหมายในเรื่องคู่ทรัพย์นี่ก็คือ มักจะทำความปราถนาให้เป็นเรื่องเป็นราว เป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมาได้

๑+๗ อาทิตย์คู่เสาร์ จริง ๆ คู่นี้ เป็นคู่ธาตุ น่าจะส่งเสริมกันดี แต่อย่าลืมว่า ธาตุที่ส่งเสริมกัน ดันเป็นธาตุไฟ จึงส่งเสริมกันในทางไม่ดีเสียมาก ดาวคู่นี้ จึงเป็นดาวคู่ความร้อน ร้อนรุ่ม ลุกลี้ลุกลน เหน็ดเหนื่อยหัวจิตหัวใจ

๑+๘ อาทิตย์คู่ราหู คู่นี้ เรียกว่า คู่เผชิญหน้า คู่ขัดแย้ง ในแบบเห็นกันคนละขั้ว เถียงกันแรงกว่า คู่ ๑+๒ เพราะคู่นั้น เขาเถียงกันแบบผัวเมีย เถียงแล้วก็จบไป แต่ไม่ถึงขนาดลุยเละตายกันไปข้างแบบ ๑+๓ ซึ่งเป็นศัตรูที่รุนแรงกว่า อย่าลืมว่า ๘ เขาเป็นคู่ธาตุกับ ๓ ตามตำรา คู่ธาตุถือว่าเป็นญาติกัน เมื่อ ๑ เขาไม่ถูกกับ ๓ ญาติของ ๓ คือ ๘ ก็เลยไม่ถูกกันกับ ๑ ไปด้วย แต่เนื่องจากไม่ได้เป็นศัตรูกันตรง ๆ เลยไม่ได้ถึงกับรุนแรงจนน่ากลัว

๑+๙ อาทิตย์คู่เกตุ ดาวอะไรก็ตาม ถ้าเจอเกตุ ให้เอาคุณสมบัติของดาวดวงนั้น เติมคำว่า “มาก” เข้าไปด้วย มากในที่นี้ หมายถึงมากแบบฟุ้ง ๆ โอเวอร์ ๆ ไม่ได้ประโยชน์ ในกรณีอย่างอาทิตย์ ก็มาตรฐานเวอร์ไป อีกด้านหนึ่ง ก็วางอำนาจมากไป กฏระเบียบเยอะไป ไม่จำเป็น

๑+๐ อาทิตย์คู่มฤตยู อาทิตย์หมายถึง ไฟ ไฟฟ้า อาจจะหมายถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า มฤตยู หมายถึงนวัตกรรมใหม่ ๆ ตรงนี้ หากมองเป็นคำนาม จะหมายถึง เครื่องคอมพิวเตอร์ หรือเครื่องมือ ทันสมัยก็ได้ แต่ต้องใช้ไฟฟ้าขับเคลื่อน แต่หากแปลเป็นคำกริยา หรือขยาย มฤตยู จะหมายถึง มาก เช่นเดียวกับเกตุ แต่มากแบบมฤตยู จะเหมือนมีรูรั่ว คือไม่เพียงพอ ถ้ามองอาทิตย์เป็นอำนาจ ก็คือ อยากได้อำนาจอีก ไม่พอใจกับอำนาจซะที ดวงคนดังท่านหนึ่ง เคยเป็นนายก ฯ ที่สร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้กับประเทศ ก็มีดาวคู่ ๑+๐ แฝงอยู่ในชะตาด้วยนะครับ ทำเป็นเล่นไป

๒+๓ จันทร์คู่ อังคาร ดาวคู่นี้ เขาเรียกคู่ชู้ คู่ระแวง คู่รอบคอบ เพราะจันทร์เขาจุกจิก อังคารเขาขยัน มุ่งมั่น รวมกันมีข้อดีคือ ความเก่งรอบคอบในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ คนที่เก่งเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ขยันทำอยู่นั่น ยังไง ท้ายสุด ก็ค่อนข้างระแวง เอาเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ มาเป็นอารมณ์ ที่เขาเรียกว่าคู่ชู้ เพราะว่า ถ้าเรื่องระแวง ๆ นี่ ไปเกิดกับเรื่องความรัก คบไประแวงไป ก็อาจจะเหมือนคนมีชู้ เลยต้องแปลอย่างนั้น

๒+๔ ยังไงก็ดาวคู่มิตรครับ เฮไหนเฮนั่น หมายถึงดาวคู่สังคมก็ได้ครับ เป็นมิตรกันแบบมิตรภาพจริง ๆ เลย

๒+๕ นี่เป็นดาวคู่ธาตุ มีความหมายในเชิงส่งเสริมดังที่ว่า เนื่องจากเป็นดาวธาตุดิน จึงส่งเสริมในทางสร้างหลักฐาน สร้างครอบครัว สร้างกิจการ เป็นดาวคู่ที่ดีมาก แม้จะเป็นดาวคู่ศัตรู แต่บางคนไม่ถือว่าเป็นศัตรูนะครับ บั่นทอนกันน้อยมาก หักกลบแล้วมีดีมากกว่า ถือเป็นดาวคู่เป็นหลักเป็นฐาน หากสัมพันธ์ถึงเรื่องความรักจะหมายถึงการพบคู่ การแต่งงาน ระดับนั้นเลยครับ

๒+๖ จันทร์คู่ศุกร์ มีความหมายทำนอง ฟุ้งเฟ้อ รุ่มรวย สวยแบบโอเวอร์ ๆ อลังการ หรูหรา ถ้ามองแบบความรัก คือ รักและเอาใจจนเกินพอดี มองแบบการดูแล ก็ดูแลกันแบบซื้อโน่นซื้อนี่ให้จนคนที่ได้รับการดูแลบอกว่า เมื่อไหร่จะหยุดซื้อซะที พอได้แล้ว มองแบบการเอาใจ คือ เอาใจกันแบบเวอร์ ๆ ให้แปลสั้น ๆ ว่า คู่รุ่มรวย หรือคู่ฟุ้งเฟ้อ จะเหมาะสมกว่าครับ

๒+๗ จันทร์คู่เสาร์ ดาวคู่นี้ เรียกว่า ดาวคู่พรัดพราก เจอดาวคู่นี้ปั้บ อาจจะต้องมีการเดินทางไกล ถ้าไม่ไปไหน ก็จะอยู่แบบทุกข์ระทม เครียดกับการเอาใจใส่ ยิ่งเอาใจยิ่งเป็นทุกข์ ไปเสียพ้น ๆ หน้าดีกว่า แต่เท่าที่เจอนะครับ มักจะเป็นการเดินทางไกล นึกง่าย ๆ ว่า ๒+๗ ได้ ๙ เลข ๙ นี่ มีความหมายของการเดินทางไกลแฝงอยู่แล้วครับ อีกนัยหนึ่ง หมายถึงความว้าเหว่ อ้างว้าง แปลกแยกสังคมก็ได้ครับ เพราะดูแลแล้วเป็นทุกข์นี่ครับ เลยว้าเหว่เป็นธรรมดา

๒+๘ แม้จะเป็นดาวคู่สมพลก็จริง แต่ก็มีความหมายแฝงว่า เป็นคู่หนี้สิน ติดค้าง ดาวคู่ ๑+๔ เป็นดาวคู่สัญญา แต่ถ้าเอา ๒ คูณ ๑๔ จะได้ ๒๘ สัญญาสองเท่าเลย คือ มีหนี้ติดค้างกันนั่นเองครับ ยังอาจจะหมายถึงความจำยอม จำทน เหมือนมีกรรมติดค้างกันมาแต่ชาติปางก่อน

๒+๙ จันทร์คู่เกตุ ไม่ว่าอย่างไร ความเป็นเกตุที่แปลว่ามาก ยังคงมีอยู่ จันทร์เป็นการดูแล เอาใจ เกตุแปลว่า มาก ฟุ้งซ่าน เลยเหมือนดูแลแบบไร้จุดหมาย เรื่อยเปื่อย ถ้าดาวจันทร์ เป็นดาวเกี่ยวกับคู่ครองตามตำแหน่ง ในดวงชะตา ก็จะเจ้าชู้จีบหว่านไปเรื่อยแบบไร้จุดหมาย บางที ไม่รู้เหมือนกันว่าจีบไปทำไม

๒+๐ จันทร์คู่มฤตยู ก็คล้าย ๆ กับจันทร์คู่เกตุ คือ ดูแลมาก เอาใจมาก จุกจิกมาก แต่มากแบบมฤตยูดังที่บอก คือ มากแบบไม่เพียงพอซะที ถ้าจันทร์เป็นดาวที่ทำหน้าที่คู่ครองด้วยนี่ จีบแหลก มีแฟนเยอะ ดูแลเขาไปทั่ว กระหายการดูแลไม่รู้อิ่มรู้พอ

๓+๔ อังคารคู่พุธ ดาวคู่นี้ เรียกว่า คู่แข่งขัน คู่ปัญญาปฏิบัติ ในแง่ดีคือ ทำอะไรก็เก่ง สติปัญญาไหวพริบก็ดี ดังนั้น ประสบความสำเร็จได้ง่าย แต่ว่า ส่วนใหญ่ ดาวคู่นี้ เป็นดาวที่ไม่ค่อยชอบขี้หน้ากันเท่าไหร่ คนอย่างดาวอังคาร ใจร้อนขาลุย ไม่ค่อยถูกโรคกับดาวพุธ ที่ลื่นไหล พูดเก่ง จับไม่ติด สองสไตล์มาเจอกัน ก็เขม่นกัน ไม่ชอบขี้หน้ากันเป็นธรรมดา ทำอะไรก็ต้องชิงดีชิงเด่นกันอยู่เรื่อย ๆ

๓+๕ ดาวคู่นี้เป็นดาวคู่สมพล มักจะส่งผลในทางดีมากกว่า เพราะช่วยลดทอนข้อด้อยให้กันและกัน เรียกว่า เป็นดาวคู่ฉุกคิด คู่เตือนสติ คู่ถึงเวลา ความหมายประการหลัง คงมาจากการที่ดาวพฤหัสเขาช่างคิด คิดอยู่นั่นแหละ จนกระทั่งอังคารนักปฏิบัติเขาต้องมาจุดประกาย เตือนให้รู้ว่า ได้เวลาทำจริง ๆ ซะทีนะ ดาวคู่นี้กระทบกัน ยิ่งเป็นดาวจรกระทบ ก็ยิ่งต้องแปลว่า ได้เวลากระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดแล้ว อย่ามัวคิดอยู่ หรือ หากว่า กำลังทำอะไรเพลิน ๆ มัน ๆ อยู่ ก็จะมีการฉุกคิด มีใครมาให้เตือนสติ ให้ระแวดระวัง หรือรอบคอบมากขึ้น

๓+๖ ดาวคู่มิตร ที่เอืออำนวยผลที่ดี ในหลาย ๆ ด้าน มักเป็นเรื่องความเสน่หา ถ้ามองในแง่ความรัก ก็จะมีความสุขวาบหวาม มองในแง่การช่วยเหลือ ก็จะได้รับการช่วยเหลือด้วยเสน่หา เรื่องเสน่หานั้น จะว่าไป มองในแง่ความสัมพันธ์ทางเพศอย่างเดียวก็คงไม่ได้ บางที เพื่อนเราเขารักเรา ก็ช่วยเราได้เช่นกัน ดาวคู่นี้ เรียกว่า ดาวคู่เสน่หา เห็นจะไม่ผิด อำนวยผลเรื่องเสน่ห์ แรงดึงดูดด้านอารมณ์ ปราถนาอะไรจะได้รับการตอบสนองได้ทันใจ

๓+๗ อังคารคู่เสาร์ ดาวคู่นี้ เป็นดาวแรงทั้งคู่ หมายถึงการแตกหัก แตกแยก ทำลายล้าง อังคารแปลว่า ทำลาย แตกหัก เสาร์คือทุกข์ ทำลายแล้วทุกข์ซ้ำคงไม่ดีเท่าไหร่ ผมเองยังไม่รู้ว่า ใครรุนแรงกว่ากัน ระหว่าง ๓+๑ กับ ๓+๗ แต่หากมีโรคภัยไข้เจ็บเกิดขึ้น เจอดาวคู่นี้ บอกได้เลยว่า จะต้องมีผ่าตัด เรียกว่า เป็นดาวคู่แตกหัก คู่ทุกข์ฉับพลัน โดยทั่วไปจะไม่ค่อยดี

๓+๘ อังคารคู่ราหู ดาวคู่นี้ เรียกว่า ดาวคู่เจ้าอารมณ์ หรือดาวคู่นักเลงก็ได้ เป็นดาวคู่ธาตุลม ตัวหนึ่ง ก็ลมแบบพายุ ทำลายล้าง อีกตัวก็ลมแบบผันผวน เรียกว่า ลมทุกรูปแบบ ถ้าหนุนกันในเรื่องดี ก็ดีไป แต่ถ้าหนุนในเรื่องร้าย ก็จะยิ่งร้าย เหตุที่เรียกว่าดาวคู่นักเลง เพราะอังคารเขาบู๊ ราหูเขาเด่นด้านอบายมุขมัวเมา รวมกันก็นักเลงดี ๆ นี่เอง คนไหนมีอังคารอย่างเดียว เรียกว่า อย่าให้โกรธ เพราะเรื่องใหญ่ แต่นาน ๆ โกรธที ถ้าคนไหนมีราหูเกาะกุมดวงชะตา อาจจะหงุดหงิดบ่อย ไม่ค่อยมีอะไรมาก โกรธง่าย แต่หายเร็ว แต่หากดาวคู่นี้ อยู่คู่กัน ก็เบิ้ลกำลังสอง เจ้าอารมณ์หงุดหงิดง่ายด้วย แล้วหงุดหงิดแรงด้วย น่ากลัว ๆ ถ้าเป็นเรื่องอื่น ๆ หมายถึงการทำอะไรตามอารมณ์ ขาดความยั้งคิด ต้องระวังผลเสีย

๓+๙ อังคาร คู่เกตุ ดาวคู่นี้ ส่งผลตามความหมายของดาว อังคารขยัน ใจร้อน เกตุฟุ้ง เวอร์แบบฟุ้ง ๆ สับสน เรียกว่า ดาวคู่ขยันไร้สาระ ถ้ามองอังคารเป็นดาวโทสะ อาจจะเป็นคนที่มักจะโมโห แบบที่ไม่มีเหตุผล หาสาเหตุไม่เจอบ่อย ๆ หรืออาจจะทำงานหรือมุ่งมั่นในแบบที่ไม่มีสาเหตุบ่อย ๆ

๓+๐ อังคารคู่มฤตยู เป็นคู่แตกหักฉับพลัน เพราะอังคารเขาแตกหัก มฤตยู ไม่คาดฝัน เลยกลายเป็นแตกหักฉับพลันดังว่า ในแง่ดี คือความขยัน หรือทำงานแบบไม่มีไม่มีขลุ่ย ว่าง ๆ นึกจะทำอะไรก็ทำ แต่ส่วนใหญ่ มักจะเป็นความหมายในทางร้ายเสียมาก ถ้าเจอเข้า มีหนาวเหมือนกัน

๔+๕ พุธคู่พฤหัส ดาวคู่นี้ เรียกว่า ดาวคู่ปัญญา เพราะพุธเป็นไหวพริบ พฤหัส เป็นความรู้ในเนื้อวิชาการล้วน ๆ กลายเป็นทั้งมีข้อมูล แบบรู้จริง และแถมยังพลิกแพลงประยุกต์ใช้ได้ดี มีสติปัญญาเด่นล้ำมาก เป็นดาวคู่ที่ส่งคุณมากคู่หนึ่ง ถ้ามองพฤหัส เป็นดาวผู้ใหญ่ ดาวการชี้แนะช่วยเหลือ พุธ เป็นการพูด ก็จะกลายเป็นคำแนะนำที่ดี ที่เราจะได้รับ ควรเชื่อถือ และเอาไว้ใช้ได้เลย ข้อเสียของดาวคู่นี้ คือเป็นดาวเน้นการคิด การเรียนรู้ เรื่องปฏิบัติอาจจะไม่เก่ง ต้องมองดาวดวงอื่น เช่นดาวอังคารเสริมไปด้วย ถ้าช่วงนั้น อังคารเด่นอีกก็ถือว่าโป๊ะเชะลงตัว

๔+๖ ดาวคู่ธาตุน้ำ จะว่าดีก็ดี เสียก็เสีย ข้อดีคือ ถือเป็นดาวคู่ราบรื่น ทำอะไรก็ลื่นไหล สมกับเป็นดาวคู่ธาตุน้ำ แต่ข้อเสียคือ น้ำนี่ถ้ามีแบบกำลังดี จะกลายเป็นความสบายอกสบายใจ ถ้ามากจะกลายเป็นความเฉื่อยชา เรียกว่า เป็นดาวคู่ขี้เกียจก็ได้ บางที ก็นึกอยากสบายขึ้นมาเสียอย่างนั้น ขาดความกระตือรือร้น สบายเกินไป

๔+๗ ดาวคู่สมพล ดาวพุธเขารวดเร็ว แต่ดาวเสาร์เขาเชื่องช้า เลยลดทอนกำลังกันดีนัก อะไรที่ล่าช้า อาจจะเร็วขึ้น อะไรที่เร็วไป ก็อาจจะช้าลง อีกแง่มุมหนึ่ง พุธเป็นดาวสื่อสาร ดาวการพูด เสาร์เป็นดาวทุกข์ ดาวกังวล คำพูดอาจจะกระทบกระทั่ง หรือทำให้เกิดความกังวลก็ได้ ถ้ามองเสาร์เป็นตัวตั้ง น่าจะเป็นเรื่องดีมากกว่า เพราะเสาร์คือทุกข์ แต่พุธนี่ปฏิภาณ อาจจะพอปรับเปลี่ยนให้ปัญหา หรือความกลุ้มกลัดคลี่คลายไปได้ในระดับหนึ่ง

๔+๘ ดาวคู่ศัตรู ตำราโบราณ เขาว่า ดาวคู่สุนัขกัด มักจะต้องระวังเขี้ยวงา สัตว์ขบกัด แต่มองอีกนัยหนึ่ง สุนัขกัด อาจจะมาจากคนปากสุนัขก็ได้ เอาราหูเป็นตัวตั้ง ราหูจะหมายถึง กลเม็ดพลิกแพลง ฉลาดแกมโกง แต่พุธนี่ พลิ้วไหว ยิ่งหนุนให้ขี้โกงหนักขึ้น จะหมายถึงคู่หลอกลวง ก็เป็นไปได้ เรียกว่า คู่ปากจัด คู่ขี้โกง เห็นจะไม่ผิด

๔+๙ พุธคู่เกตุ พุธนี่ ดาวสื่อสาร เกตุนี่ฟุ้งซ่าน กลายเป็นพูดจาไร้สาระ ถ้ามองพุธเป็นไหวพริบ พลิกแพลง เกตุนี่ ไร้สาระ จับต้องไม่ได้ ก็จะหมายถึง การพลิกแพลงที่ไม่จำเป็น วุ่นวายไปเปล่า ๆ ถ้าเจอดาวคู่นี้ ต้องถึงว่า คำพูดเป็นของศักดิ์สิทธิ์ พูดน้อย ๆ จะดี พูดมากมักจะไม่ได้ความ ถ้ายิ่งเป็นคนไม่ค่อยพูดนะ พูดแต่ละที ยังกับพระร่วง วาจาสิทธิ์เชียว ต้องอ่านให้ออกว่าใช้ดาวคู่นี้ในนัยยะไหน ถ้าคน ๆ นั้น บุคลิกเป็นคนเงียบ ๆ ล่ะ จะเป็นคนวาจาสิทธ์ ถ้าสังคมเก่ง จะกลายเป็นคนเรื่อยเปื่อยซะอย่างนั้น

๔+๐ พุธคู่มฤตยู อันนี้ ล่ะพูดมากของจริง เพราะไม่ค่อยเพียงพอต่อการพูด ถ้าหมายถึงพุธเป็นการพลิกแพลง มักจะมีสติปัญญาพลิกแพลงแบบวูบเข้ามา คือ ไม่รู้เนื้อรู้ตัว บางที ใช้ลูกไม้พลิกแพลงไปลูกหนึ่งแล้ว กลับจะต้องใช้อีกลูกหนึ่ง ต่อเนื่องกันไป พูดมากแบบพุธมฤตยูนี่ เรียกว่า ปากพาจน ปากพาหายนะ อาจจะเรียกว่า คู่ปากพาจนก็ได้ ต่างจากปากเสียของ คู่ ๔+๘ อันนั้น มักจงใจเสีย แต่คู่ ๔+๐ อันนี้ เรียกว่า ว่าง ๆ ไม่ได้คาดคิด ปากก็เสียเล่นไปซะอย่างนั้น

๕+๖ พฤหัสคู่ศุกร์ เป็นดาวคู่จัดการ ดาวศุกร์เป็นดาวราคะหรือดาวโลภะ เน้นความต้องการ ความปราถนา พฤหัสเป็นดาวฉุกคิด ทำให้ความต้องการของดาวศุกร์ อยู่ในจุดที่พอดี ตรงกับความเป็นจริง ที่เรียกว่า ดาวคู่จัดการ ก็คือ ทำให้ทุกอย่างมันพอดี ๆ นั่นเอง ไม่ทำอะไรเกินเลย พอดี ๆ เลยอาจจะไม่ค่อยหวือหวา สมใจพระเดชพระคุณ แต่ก็ไม่มีอะไรเสียหาย บางคนจัดว่า เป็นคู่กลาง ๆ อะไร ๆ ก็จะพอดี ๆ ไม่มากไป ไม่น้อยไป ไม่สะใจฮาร์ดคอร์ แต่ถูกใจคนชอบหลักพอเพียง

๕+๗ พฤหัสคู่เสาร์ ดาวนี้มองได้สองนัยยะ ถ้าปรากฏในพื้นดวง จะแปลว่า คู่ยืดเยื้อ คู่เฝ้าระวัง พฤหัส ดาวการสอน บางทีขี้บ่นตามประสาคนแก่ หรือคนรู้เยอะ แต่ดาวเสาร์เขาหมายถึงยืดเยื้อยาวนาน ก็คงบ่นกันจนเซ็งไปข้าง พฤหัสยังแปลถึงความรู้ แต่จะทำไปเลย ก็ยังทำไม่ได้ เพราะเสาร์เขากังวลคอยถ่วงอยู่ เลยกลายเป็นความรำคาญ แปลว่าคู่รำคาญก็คงได้อีก แต่หากมองในแง่ดาวจรกระทบ ไม่ว่า เสาร์อยู่นิ่ง แล้วพฤหัสจรกระทบ หรือพฤหัสอยู่นิ่ง เสาร์จรกระทบก็ตาม ความหมายจะกลับกลายเป็นดาวคู่ปฏิวัติ เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลัน ซึ่งก็แปลกดี ทางหนึ่งแปลว่า ยืดเยื้อ ทางหนึ่งแปลว่าเปลี่ยนแปลง ต้องอ่านให้แตก

๕+๘ พฤหัสคู่ราหู ตามตำราว่าเป็นดาวคู่โลกคู่ธรรม พฤหัสเป็นพระ ราหูเป็นคนคลุกคลีด้านอบายมุขเรื่องไม่ดี ถ้าเอาสองเรื่องมารวมกันจะกลายเป็นความเก่งกาจสองด้าน แต่ถ้ารวมกันไม่ได้ ก็จะกลายเป็นความขัดแย้ง ราหูอยากทำอะไรเจ้าอารมณ์ ก็ทำไม่ได้ เพราะถูกพฤหัสเบรค ดาวพฤหัสอยากทำอะไรสงบ ๆ ตามประสาพระ ก็ถูกราหูความมัวเมาคอยยั่ว อาจจะแปลว่า ดาวคู่ยั่วอารมณ์ก็ได้ หรือคู่ขัดแย้งปัญญาอารมณ์ก็ไม่ผิด

๕+๙ พฤหัสคู่เกตุ คู่รู้เร้นลับ ใครเจอดาวคู่นี้ในพื้นดวง มักจะสนใจในศาสตร์เร้นลับ เช่น เรื่องพลังจิต หมอดู เกตุเป็นดาวฟุ้งซ่าน เรื่อยเปื่อย พฤหัสชอบศึกษา ศึกษาไปเรื่อย ไม่มีที่สิ้นสุด เรื่องเร้นลับเป็นเรื่องที่ศึกษากันไม่จบไม่สิ้นอยู่แล้ว ถ้าพฤหัสจรกระทบเกตุ มักจะมีเรื่องคิดไม่ออก ถ้าเป็นเรื่องสำคัญ อาจจะหาทางออกไม่เจอ

๕+๐ พฤหัสคู่มฤตยู ดาวคู่นี้ เป็นคู่สังหรณ์ มักจะมีข้อมูลหรือความรู้ ที่บอกที่มาที่ไปไม่ได้ ก็คือลางสังหรณ์นั่นแหละ บางทีต้องทำในแบบที่รู้ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ไม่มีหลักฐาน มฤตยูเป็นดาวอนาคต พฤหัสเป็นความรู้ ก็คือ รู้อนาคต ชอบคิดค้นอะไรแปลกใหม่ ถ้าพฤหัสจรกระทบมฤตยู อาจจะมีการเปลี่ยนแนวคิด เปลี่ยนฐานความรู้ เปลี่ยนความเชื่อกันเลยทีเดียว

๖+๗ ดาวคู่ศัตรู ดาวศุกร์หมายถึงความสุข ดาวเสาร์หมายถึงเศร้า หรือความทุกข์ เจอเข้ากลายเป็นสุข ๆ ทุกข์ ๆ เบื่อ ๆ อยาก ๆ แถมเป็นศัตรูกันด้วย เลยเรียกว่า คู่พะอืดพะอมขมขื่น หรือคู่จำใจ ไม่มีทางเลือกอื่น ถ้ามองศุกร์เป็นการเงิน ก็มักจะหมายถึง รายได้ที่ไม่ได้ซะที ว่าจะได้ ก็ไม่เห็นได้ซะที โทษภัยของดาวคู่นี้ มักจะเกิดกับความรู้สึกเสียมากกว่า อาจจะมีเหตุให้ผิดหวัง ผิดไปจากความปราถนา เซ็งชีวิต

๖+๘ ศุกร์คู่ราหู ถือเป็นดาวคู่กิเลส ศุกร์เขากิเลสราคะ ราหูนี่กิเลสมัวเมา รวมกันเข้า เลยกลายเป็นคู่ลุ่มหลง ชอบในสิ่งที่ไม่เหมือนใคร ถ้ามองศุกร์เป็นความรัก ก็ชอบอะไรที่มันแปลก ๆ บางทีก็มากรัก เจ้าชู้ อาจจะทำตัวเหลวไหลในเรื่องดังกล่าว มองราหูเป็นตัวตั้งต้น จะมีความสุขกับเรื่องอบายมุข ติดพนัน ติดเหล้า แต่เรื่องลาภผลจะดี เพราะศุกร์เป็นดาวทรัพย์ ราหูเป็นดาวการเสี่ยง พลิกแพลง มักจะได้โชค แบบฟลุ้ค ๆ แต่ได้มาก็หมดเร็ว ตามประสาคู่ลุ่มหลง

๖+๙ ศุกร์คู่เกตุ ดาวคู่นี้ เรียกว่าดาวคู่เพ้อเจ้อ คิดฝันในสิ่งที่ไม่เป็นจริง หรือไร้สาระ มีความปราถนาในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ หรือไม่สิ้นสุด ถ้ามองศุกร์เป็นความรัก ก็รักแบบไม่ค่อยยึดติดกับความเป็นจริง มองศุกร์เป็นการเงิน ก็มักจะใช้จ่ายแบบไม่มีข้อยั้งคิด อาจจะผิดหวังกับรายได้ เพราะคิดว่าจะได้เท่านี้ แต่จริง ๆ ก็เป็นเพราะเราเพ้อเจ้อไป ใครมีดวงนี้ ควรทำบุญบริจาคทานเยอะ ๆ จะทำให้มีทรัพย์เข้ามาช่วยเหลืออย่างไม่คาดฝันบ่อยครั้ง บางคนหากหัดสมาธิได้ จะพบกับความสุขในการปฏิบัติสมาธิ

๖+๐ ศุกร์คู่มฤตยู ดาวคู่นี้ ดาวคู่เงินไม่พอ รักไม่พอ เหมือนขาดแคลนเรื่องดังกล่าวอยู่ตลอด มีเงินเยอะ ก็คิดว่าต้องเอาอีกเยอะ ๆ มีรัก ก็มักจะคิดว่า แฟนไม่รัก ต้องรักให้มากกว่านี้ แฟนก็เครียดพอดี มองความสุขหรือความปราถนา ก็ดูจะไม่เพียงพอซะที

๗+๘ ดาวคู่มิตร ส่งเสริมช่วยเหลือกันดี ตามประสาดาวคู่มิตรทั่วไป เสาร์เขาเป็นดาวน่าเบื่อ มีราหูเข้ามา ก็ช่วยทำให้ตื่นเต้นหายเบื่อไปได้ ในพื้นดวงควรระวัง อาจจะช่วยส่งเสริมกันในทางเสื่อม เพราะเสาร์เป็นทุกข์ ราหูมัวเมา อาจจะยิ่งทุกข์และมัวเมาหนักเข้าไปอีก หรืออาจจะทำให้มัวเมาจนมองปัญหาที่แท้จริงไม่ออก แต่ถ้าเป็นดาวจร ถือว่าดีนัก จัดว่าคลายทุกข์ให้เราได้ ราหูเป็นโชคฟลุ้ค ๆ อยู่แล้ว พอเจอเพื่อน ก็ยิ่งช่วยส่งโชคให้ ใครเจอราหูจรต้องเสาร์ หรือเสาร์จรต้องราหูมักจะได้ลาภ หรือได้รับสิ่งดี ๆ แน่นอน

๗+๙ เสาร์คู่เกตุ ดาวคู่นี้ เรียกว่า ดาวคู่กังวลเรื่อยเปื่อย วิตกจริตสูง แต่มีข้อดีคือ ความอึด อดทน ที่อดทนในสิ่งต่าง ๆ ได้ดีกว่าคนทั่วไป รวมถึงความมานะพยายามด้วยสิ

๗+๐ เสาร์คู่มฤตยู ดาวคู่ทุกข์วิบัติฉับพลัน มักจะเจอทุกข์แบบที่ไม่ได้คาดฝัน คิดว่าไม่มีอะไร แต่ก็มีปัญหาขึ้นจนได้ เป็นดาวคู่วิตกเก็บกด ไม่แสดงออก แต่ก็มีปัญหาค่อนข้างเยอะ และใหญ่โต เป็นดาวคู่ปัญหาซ่อนเร้น มักจะมีสิ่งที่เป็นปัญหา แต่เราไม่รู้ชัด กว่าจะรู้ก็สายไปแล้ว

๘+๙ ราหูเกตุ เป็นดาวคู่วุ่นวายเพ้อเจ้อ มักจะก่อปัญหาแบบไร้สาระ ชอบถลำผิดทิศทางไปเรื่อย ๆ แต่หากรู้จักเก็บเนื้อเก็บตัว มีจังหวะ ก็แสดงความสามารถซะที จะกลายเป็นดาวคู่ปาฏิหารย์ แต่แสดงเสร็จแล้วต้องเก็บตัวเงียบจึงจะดี จะทำให้คนทึ่ง และพิศวงกับความสามารถ

๘+๐ ราหูมฤตยู ดาวคู่นี้ มักจะทำอะไรแบบไม่รู้ตัว บางทีงง ๆ ว่าทำไปได้ยังไง ส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื่องไม่ดีมากกว่า ราหูอบายมุข มฤตยูวิบัติ ถ้าไปยุ่งเกี่ยวกับพวกวงการมาเฟีย ค้ายา อาจจะส่งผลร้ายไม่รู้ตัว ในด้านดี เป็นดาวคู่พลิกแพลงเร้นลับ อาจจะทำอะไรแบบใต้ดินไม่ให้คนรู้เห็นได้ดี พอเปิดฉากออกมา ก็เป็นเรื่องเป็นราวเลย ในดวงโหราศาสตร์ ช่วงระยะปี ๔๙-๕๑ เกิดปรากฏการณ์ดาวราหูกุมมฤตยู จะเห็นว่า เหตุอิทธิพลของราหูกุมมฤตยูจะเกิดเยอะ ปฏิวัติก็เกิดช่วงนี้ จตุคามรามเทพ ก็บูมแบบไม่รู้ตัว ดาวนั้น ไม่ว่าจะเลข ๗ ตัว หรือโหราศาสตร์ก็อ่านไม่ต่างกันเท่าไหร่ ใครอ่านดาวเก่ง ก็จะใช้เป็นพื้นฐานของการศึกษาโหราศาสตร์ได้ด้วย

๙+๐ เกตุคู่มฤตยู คู่ฟุ้งซ่านวิบัติ หรือซับซ้อนแฝงเร้น บางทีเรื่องยุ่ง ๆ แบบเรื่องไม่เป็นเรื่องอาจจะเกิดแบบไม่รู้ตัว หรือบางที ซับซ้อนวุ่นวายมากไป จนกลายเป็นเรื่องวุ่นวายไม่รู้ตัวก็มี เรื่องไม่เป็นเรื่องทำให้เป็นปัญหา เรียกว่า คู่ปัญหาเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องก็ได้

ในเลข ๗ ตัว มักจะไม่ค่อยเจอดาวราหู เกตุ มฤตยู ปะทะกันตรง ๆ เพราะโดยรูปแบบของการผูกดวงชะตาแล้วเป็นไปได้น้อยมาก แต่ก็พอมีทางเป็นไปได้ แต่ไม่ว่าอย่างไร การอ่านดาวทั้งสิบดวง ก็ยังเป็นพื้นฐานที่สำคัญ ใครอ่านแตกฉาน เท่ากับสำเร็จวิชาโหราศาสตร์ หรือเลข ๗ ตัว ได้ถึงครึ่งหนึ่งทีเดียว

วิธีอ่านดาว ให้อ่านอย่างนี้นะครับ

สมมติ มีคนถามเรื่องการศึกษา ก็พิจารณาดาวที่มีความหมายด้านการศึกษา คือดาวพฤหัส

อ่านตรงนี้ เรียกว่า อ่าน “อะไร” คือ จะอ่านเรื่องอะไร ก็จับดาวที่เป็นเจ้าการของเรื่องนั้นขึ้นมาเป็นตัวตั้งเสียก่อน

จากนั้น ดูดาวกระทบ ถ้าเป็นพื้นฐานของการอ่านดวงเลข 7 ตัว เขาจะมีวิธีกระทบในรูปแบบที่ต่างจากโหราศาสตร์อยู่บ้าง เดี๋ยวค่อยศึกษาทีหลัง

พอกระทบแล้ว ก็จะอ่านความหมายในเชิง “อย่างไร” เช่น พฤหัส หากกระทบกับอังคาร จะส่งความหมายที่ดี คือ ศึกษาหาความรู้แบบขยันขันแข็ง และอาจจะเหมาะกับความรู้ที่เกี่ยวกับเครื่องจักร เครื่องยนต์ วิศวกรรม หรือเกี่ยวกับทหารตำรวจ การออกกำลังกายไปเลย

อย่างนี้เป็นต้น

๒๑ เรือน ๒๑ นิยาม ของเลข ๗ ตัว

การอ่านดวงทางโหราศาสตร์ นอกจากจะรู้เรื่องดาวอย่างลึกซึ้ง ยังต้องรู้เรื่องเรือนหรือภพของดวงชะตา ยิ่งลึกซึ้งเท่าไหร่ยิ่งดี

เพียงแต่เรือนชะตาของโหราศาสตร์มีเพียง ๑๒ เรือน ๑๒ ภพ เท่านั้น ต่างจาก เลข ๗ ตัวที่มีถึง ๒๑ เรือน ๒๑ นิยาม

เราเรียกแต่ละเรือนของโหราศาสตร์ว่า ภพ แต่เรียกแต่ละเรือน ของเลข ๗ ตัวว่า นิยาม

เรือน ก็คือ ตำแหน่ง จะเห็นว่า เลข ๗ ตัว มีการตั้งดวงด้วยเลข ๓ แถว มีผลรวมอีกหนึ่งแถว เลข ๓ แถวจะมีแถวละ ๗ ตัวเลข รวมเป็น ๒๑ ตัวเลข ทั้ง ๒๑ ตัวเลข นี่คือ แต่ละเรือนนั้นเอง

เลขแถวที่ ๔ ถือเป็นผลรวม ไม่มีเรือนไม่มีนิยาม แต่อาจจะมีส่วนเกี่ยวพันถึง ถือเป็นแถวที่ใช้ “ขยาย” ความหมายต่าง ๆ

มาดูว่า ๒๑ เรือน ๒๑ นิยาม มีอะไรบ้าง

อัตตะ หินะ แถววันธนัง ปิตา มาตา โภคา มัชฌิมา ------------

ตนุ กดุมภะ สหัสชะ พันธุ ปุตตะ แถวเดือนอริ ปัตนิ --------------

มรณะ ศุภะ กรรมะ ลาภะ พยายะ ทาสา ทาสี แถวปี--------------

ความหมายของเรือนแต่ละเรือนนั้น หากใครเก่งภาษาไทยหน่อย ก็น่าจะพอคาดเดาความหมายได้ไม่ยากนัก แต่ก็ยังมีความหมายแฝงอื่น ๆ มากมาย

อย่างเช่น เรือนที่มีคำว่า มัชฌิมา คนอาจจะนึกไปถึง มัชฌิมาปฏิปทา หรือทางสายกลาง (บางคนอาจจะนึกถึงพรรคมัชฌิมาธิปไตยก็ได้) ก็อาจจะพอคาดเดาออก ว่า คำนี้ หมายถึงอะไร

แต่อาจจะมีความหมายแฝงแบบคิดต่อเนื่องไปอีก ผมจะหมายถึง การบริหารจัดการ ความพอดี การเลือก การตัดสินใจ

ในที่นี้ เลยจำเป็นต้อง อธิบายเรือนทั้ง ๒๑ ในเชิงความหมายให้กระจ่าง กระซิบไว้นิดนึง ว่า ใครแตกฉานเรื่องการอ่านเรือนหรือนิยาม ก็จะเป็นพื้นฐานสำคัญของการศึกษาโหราศาสตร์ได้ด้วย เพราะเรือนชะตาในวิชาโหราศาสตร์ ซึ่งมี ๑๒ เรือน นั้น มี ๑๑ เรือน มีชื่อและความหมายเหมือนกันกับเรือนในวิชาเลข ๗ ตัว

เรียนเลข ๗ ตัวจบ อาจจะเรียนโหราศาสตร์ได้ง่ายขึ้นก็ได้

ถ้าจะเปรียบชะตากับชีวิตคนทำงาน ดาวเหมือนเป็นบุคลิกของคนนั้น ๆ ความสามารถของดาวต่าง ๆ ก็คือ ความสามารถของคนนั้น ๆ แต่เรือนหรือนิยาม เปรียบไป ก็คือตำแหน่งหน้าที่การงาน คนที่มีบุคลิกภาพหรือความสามารถไม่ตรงกับตำแหน่งหน้าที่การงาน ก็อาจจะทำหน้าที่นั้น ๆ ได้ไม่ดีนัก ตรงนี้ เหมือนกับหลักความเป็นจริง

มาดูเรือนและนิยามทั้ง ๒๑ ของเลข ๗ ตัวกัน ว่าแต่ละเรือนมีอะไร และทำหน้าที่อะไรบ้าง

อัตตะ คำว่า อัตตะ คือตัวตน คงจำได้ถึงสุภาษิตที่ว่า อัตตาหิ อัตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนได้นะครับ อัตตะ ก็มาจากคำว่าอัตตานั่นแหละ เลข ๗ ตัว ใช้ ตัวเริ่มต้นของแถววัน เป็นตัวแทน คนเกิดวันไหน ก็ถือว่าวันนั้น เป็นอัตตะ อัตตะจะเป็นตัวแทนของตัวตน ในแง่ของอุปนิสัยดั้งเดิม ดิบ ๆ พื้นฐานของคน ๆ นั้น

หินะ ความหมายคือ ตกต่ำ เสื่อม เลวร้าย ความไม่ดีไม่งามต่าง ๆ

ธนัง ทรัพย์สิน เงินทอง ความมั่งคั่ง สมบัติ พิเศษอีกนิด ยังหมายถึงความรู้ความสามารถได้ด้วย

ปิตา ตำแหน่งนี้ มีความพิเศษ ถือเป็นตำแหน่งกลางชะตา มีความหมายหลากหลาย ดั้งเดิมหมายถึงพ่อ แต่มองว่าพ่ออย่างเดียวคงไม่เพียงพอ ต้องมองคุณสมบัติแตกแขนงอื่น ๆ ด้วย พ่อเป็นผู้มีอำนาจในบ้าน จึงมีความหมายของ การปกครอง ผู้ปกครอง พ่อเป็นคนมีอำนาจสั่งโน่นสั่งนี่ และตัดสินใจต่าง ๆ จึงมีความหมายถึง “ปาก” คือการพูด สติปัญญา ความคิด การตัดสินใจ พ่อเป็นคนทำงานนอกบ้าน จึงหมายถึงการบริหารจัดการภายนอก หรือสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ เป็นตำแหน่งที่มีความหลากหลายมาก ต้องพิจารณาดูดี ๆ

มาตา เมื่อมีพ่อ ก็ต้องมีแม่ ตำแหน่งนี้ จึงหมายถึงแม่โดยนัยนะเดิม แต่ต้องแตกความหมายต่อเนื่องเพื่อให้มีความหลากหลาย แม่เป็นคนเลี้ยงดูลูก มาตาจึงหมายถึงผู้ดูแล การดูแล อุปถัมป์ ความเมตตา แม่เป็นคนทำงานในบ้านเสียเป็นส่วนใหญ่(เอาวิถีชีวิตสมัยก่อนเป็นเกณฑ์นะครับ) จึงหมายถึงการจัดการภายใน หรือเรื่องส่วนตัว

อนึ่ง ปิตา มาตา ถ้าจะมองให้เป็นญาติผู้ใหญ่ ฝ่ายหญิงหรือชายก็ได้นะครับ อย่ามองแค่เฉพาะแต่พ่อหรือแม่แท้ ๆ เพียงอย่างเดียว

โภคา ในวิชาเลข ๗ ตัว มีนิยามที่มีความหมายถึงทรัพย์ หลายตำแหน่ง ต้องแยกแยะให้ดี โภคานี่ก็แปลว่าทรัพย์ แต่จะหมายถึงทรัพย์ใหญ่ ประเภทบ้าน หรือรถ อสังหาริมทรัพย์ คนที่จะมีสิ่งเหล่านี้ได้ ต้องมั่นคงอยู่ในระดับหนึ่งแล้ว โภคา จึงอาจจะมีความหมายถึงความมั่นคง ความลงตัว ก็ได้

มัชฌิมา ชื่อเหมือนพรรคการเมืองนะครับ แต่ว่า จริง ๆ หมายถึง ทางสายกลาง ทางเลือก พอดี ๆ พอเพียง การจัดการเรื่องราวต่าง ๆ ให้ลงตัว

ตนุ เป็นนิยามแรกของแถวเดือน จะหมายถึงตัวตน เช่นเดียวกับ อัตตะ แต่เป็นตัวตนมีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับการดำเนินชีวิตแล้ว หลักปรัชญาของเลข ๗ ตัวนั้น ผูกพันกับหลักปรัชญาทางศาสนา ที่ท่านว่า ทุกสรรพสิ่ง ต้องมี เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นธรรมดา อัตตะ เหมือนการเกิดขึ้นของตัวตน ตนุ คือ การตั้งอยู่ของตัวตน และอีกเดี๋ยวจะอธิบายความถึงมรณะ ที่หมายถึง การดับไปของตัวตนเช่นกัน

ในที่นี้ ให้มองว่า ตนุ แปลว่า ตัวตน ที่ “ตั้งอยู่” จะสะดวกกว่าครับ

ข้อสังเกต นับตั้งแต่ความหมายของตนุ เป็นต้นไปจนถึง ลาภะ จะเหมือนกับตำแหน่งเรือนของวิชาโหราศาสตร์ ถ้าแตกฉานพอ จะทำให้ศึกษาวิชาโหราศาสตร์ต่อเนื่องจากวิชาเลข ๗ ตัวก็คงไม่ยากเท่าไหร่

กดุมภะ หมายถึงทรัพย์สิน เงินทอง เช่นเดียวกับธนัง แต่ความหมายของกดุมภะ ก็ผูกพันกับหลักปรัชญา ประจำแถว คือ “ตั้งอยู่” กดุมภะ จึงหมายถึง ทรัพย์สินเงินทอง ที่ใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน เงินหมุน คำโบราณกล่าวว่า มีวิชาเหมือนมีทรัพย์อยู่นับแสน กดุมภะ กับธนัง จึงเหมือนกัน อยู่อย่างหนึ่ง คือ จะแปลว่า วิชาความรู้ด้วยก็ได้ แต่กดุมภะ เป็นความรู้เฉพาะหน้า มากกว่า ส่วนธนัง เป็นความรู้ที่ติดตัวตลอดไป

ถ้ามองในแง่กริยา กดุมภะ จะหมายถึงการได้มา การจับจ่าย บุคลิกของดาวที่ครองเรือนจะเป็นตัวบ่งบอกว่า จะเน้นอะไรมากกว่ากัน

เหมือนคนคุมบัญชี หรือคุมการเงินนั่นแหละครับ บางคนงก บางคนจ่ายแหลก ก็สุดแท้แต่ เรือนหรือนิยาม เป็นเหมือน “ตำแหน่งหน้าที่การงาน” อยู่แล้วนี่ครับ

สหัสชะ หมายถึง เพื่อน การติดต่อ การสังคม การขยับขยาย การสื่อสาร ตำแหน่งนี้ มีหน้าที่เหมือนกับ “ดาวพุธ” ข้อสังเกตคือ ถ้าตำแหน่งนี้ เป็นดาวพุธด้วย เหมือนกับวางคนได้เหมาะกับงานที่สุด

พันธุ หมายถึง เผ่าพันธ์วงตระกูล ญาติมิตร พืนฐาน พื้นเพ รากเดิม การค้ำจุน ความนิ่ง สงบ ตำแหน่งนี้ อยู่ตำแหน่งกลางดวงชะตา จึงหมายถึงตำแหน่งที่แสดงถึง จิตหัวใจ หรือรากเหง้าเดิมทางจิตใจ และยังแสดงถึง “รูปร่าง” ของเจ้าชะตาได้ด้วย

ปุตตะ หมายถึงเด็ก คนที่ด้อยกว่า ความคิดอ่านแบบเด็ก ๆ คือ การเรียนรู้ในสิ่งแปลกใหม่ การเล่น ความสนุกสนาน ความผ่อนคลายปลดปล่อย ลูก หลาน น้อง การเสี่ยง ความประมาท

อริ หมายถึงอุปสรรค ศัตรู เงื่อนไข ติดค้าง ความยุ่งยาก ความลำบาก บั่นทอน ขัดขวาง

ปัตนิ หมายถึง คู่ครอง หุ้นส่วน คู่หู ความผูกพันที่ลึกซึ้ง คนสนิท ต่อรอง คู่แข่ง การแบ่งปัน ความรัก

มรณะ ตำแหน่งแรกของแถวปี ซึ่งหมายถึงแถว “ดับไป” หรือเปลี่ยนแปลงไป มรณะจะหมายถึง การตาย ดับสูญ การเปลี่ยนแปลง ชีวิตปรกติ หากไม่ได้อยู่ในวัยไม้ใกล้ฝั่ง จะมองมรณะในแง่ที่หมายถึงการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลง นั้นขึ้นกับกิเลส หรือแรงปราถนา มรณะ จะหมายถึงแรงปราถนาก็ได้

ศุภะ หมายถึง ความดีงาม การศึกษา การเดินทางไกล แบบปราถนาไว้ก่อน ความก้าวหน้าของชีวิต การสนับสนุน ส่งเสริม

กรรมะ หมายถึง อาชีพ การงาน การกระทำ ภาระ ความรับผิดชอบ

ลาภะ เป็นตำแหน่งกลางดวงชะตา ในแถวปี ลาภะคือ ความสุข ความสำเร็จ ลาภผล สิ่งที่ได้มาโดยไม่คาดหวัง ยังถือเป็นตำแหน่งของ “ที่นั่ง” ซึ่งหมายถึงสถานภาพ ความเป็นอยู่ สภาวะที่ปรากฏ แล้วแต่ว่า เราจะมองในมุมไหน

พยายะ หมายถึง การเบียดเบียน โรคภัย สิ่งไม่คาดฝัน ตกใจ ไม่คาดคิด หักเห

ทาสา ตำแหน่งนี้ กับตำแหน่ง ทาสี บางตำรามักจะเขียนสลับกัน ความหมายของทาสา ตามรากเดิมคือ ทาสที่เป็นผู้ชาย ทาสยังไงก็เหนื่อย ลำบาก ทาสชายมักจะถูกใช้งานแนวแบกหามเสียมากกว่า จึงหมายถึง ความเหน็ดเหนื่อยทางกาย อีกนัยหนึ่ง ก็หมายถึง บริวารฝ่ายชายด้วย บางตำราก็จะหมายถึง การเหน็ดเหนื่อยเพื่อตนเอง ก็แปลได้เหมือนกัน

ทาสี ทาสา หมายถึงทาสชาย ทาสี ก็ต้องหมายถึงทาสหญิง บริวารฝ่ายหญิง สมัยโบราณทาสหญิงมักเน้นงานด้าน การดูแล เอาใจ จึงอาจจะหมายถึงความเหน็ดเหนื่อยหัวใจ การเหน็ดเหนื่อยเพื่อผู้อื่น

เอาล่ะครับ ได้เรือนทั้ง ๒๑ ครบถ้วนแล้ว ก็ต้องจำให้แม่นยำ ถึงระดับที่เรียกว่า ชี้ปุ๊บ บอกได้ปั๊บ บางคนบอกว่าขี้เกียจท่อง ผมเอง ก็ไม่ถึงกับท่องหรอกนะครับ แต่ดูดวงไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็จำได้เอง

ฐานผลบวก

ฐานผลบวกหรือฐานที่ ๔ มีความสำคัญ ในการใช้ “ขยายความ” มีเทคนิคในการใช้ฐานผลบวกนี้เยอะแยะ แต่ก่อนจะใช้เป็นต้อง รู้ความหมายของผลบวกค่าต่าง ๆ เสียก่อนนะครับ

เลข ๗ ตัว มีเลขที่ใช้ตั้งดวง ๗ ตัว มีแถว ๓ แถว ดังนั้น ผลบวกในแถวที่ ๔ จึง ไม่มีทางต่ำไปกว่า ๓ และไม่มีทางเกิน ๒๑

๓ เลขนี้ เป็นเลขประจำดาวอังคาร ถือว่าเป็น “รูปดาวอังคาร” หรืออังคารเล็ก คุณสมบัติ ก็ยังเป็นดาวอังคารนั่นแหละ แต่ถ้าเป็นลักษณะของ “รูป” มักจะแสดงข้อด้อยมากกว่า ถ้าจะเปรียบไป ก็เหมือนคนใหญ่ แต่ไม่ใหญ่จริง มักจะค่อนข้างก๋า วางฟอร์มมากสักหน่อย ทำให้คนหมั่นไส้ เพราะขาดพลังที่แท้จริง

อังคารเล็กจะหมายถึง ความใจร้อน โมโหง่าย ตามลักษณะของอังคาร

ข้อสังเกตนะครับ ในวิชาเลข ๗ ตัว ๔ ฐาน เราจะมีเลขเพียงเลขเดียวที่มีฐานนี้ คือ เลข ๑ เท่านั้น จึงค่อนข้างตอกย้ำ ถึงข้อเสียของฐานผลบวก ๓ ได้ดี เพราะไม่ว่ายังไง เจอดาวคู่ศัตรูตลอด จะให้ทายเป็นดีคงไม่ได้หรอกครับ

๔ เลขนี้ ก็คิอเลข ประจำตัวของดาวพุธ หรือ “รูปดาวพุธ” หรือพุธเล็ก แน่นอนครับ ข้อเสียของดาวพุธมักจะออกมาเลขนี้ด้วย ข้อเสียของดาวพุธที่สำคัญ คือความลังเล ไม่แน่นอน รวนเรบ่อยนั่นเอง

๕ นี่ก็คิอ พฤหัสเล็ก ข้อเสียของพฤหัสจะออกมากับผลรวมนี้ คือ จุกจิก ขี้บ่น อวดรู้

๖ ผลรวมนี้ มักจะทำให้คนสับสน เพราะมันจะมองว่า “ศุกร์เล็ก”หรือ “รูปดาวศุกร์” ก็ได้ แต่อีกนัยหนึ่ง มองว่า เป็น “กำลังดาวอาทิตย์” ก็ได้ แต่ส่วนใหญ่ เขามักจะถือว่า กำลังนั้นสำคัญกว่ารูป จึงไม่ค่อยให้ผลรวมนี้ เป็น ศุกร์เล็กสักเท่าไหร่

พอเป็นกำลังอาทิตย์ ตอนนี้ ก็เหมือนกับมีอาทิตย์เต็มตัว ข้อดีเสีย ของอาทิตย์ จะใช้เต็มที่ แต่ส่วนใหญ่ มักจะเป็นข้อดีมากกว่า ผลรวมนี้ จะหมายถึง อำนาจ ระเบียบ กฏเกณฑ์ ความมีมาตรฐาน แต่ไม่ว่าอย่างไร ก็อาจจะต้องติดความหมายของศุกร์เล็กมาบ้าง นั่นคือ เฉื่อยชา ซึ่งเป็นข้อเสีย ยังไงก็ต้องแปลรวม ๆ กันครับ อาจจะหมายถึง ความล่าช้า อันเกิดจากระเบียบ กฏเกณฑ์ อำนาจ ก็ได้

๗ เสาร์เล็ก อย่างนี้แปลง่าย หมายถึง ความล่าช้า ขี้กังวล วิตก หวาดระแวง เอาข้อเสียของเสาร์มาใช้เลยครับ ง่ายดี

๘ นี่ก็มองได้สองแง่ แง่หนึ่ง คือ “ราหูเล็ก” หรือ “รูปราหู” อีกแง่หนึ่ง คือ “กำลังอังคาร” วิธีใช้ ก็ใช้มันทั้งสองความหมาย คือ ความเจ้าอารมณ์ หงุดหงิดง่าย แต่ก็มีความมุ่งมั่น ความพยายามสูง ความตั้งใจสูง อารมณ์โกรธ ถ้ามี ก็ค่อนข้างรุนแรง

๙ เต็ม ๆ ครับ รูปและกำลังเกตุ มองว่า เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็ได้ ตามตำราอีกตำรา เขาให้มองว่าโชค เพราะหากผลรวมตกในรูปกำลังแล้ว มักจะเป็นผลดีมากกว่า คาแรคเตอร์ของเกตุเขาค่อนข้างมั่ว ๆ ฟุ้ง ๆ แต่ส่งผลดี อย่างนี้จะไม่เรียกว่าโชคได้อย่างไรล่ะครับ ยังไง ก็อาจจะแปลถึงการเดินทางตามความหมายของพระเกตุก็ได้

๑๐ ตัวนี้ เป็น “กำลังเสาร์” ข้อดีของดาวเสาร์ คือความอดทน มัธยัสถ์ การรอคอย ก็นำมาใช้ได้เต็มที่ แต่ก็มี เลข ๐ ที่หมายถึงดาวมฤตยูติดอยู่ สามารถนำมาใช้ได้ในแง่ ของ “การกระทบดาว”

กระทบอย่างไร เดี๋ยวจะยกตัวอย่างในภาคของการอ่านดวงชะตา

แต่อิทธิพลของดาวมฤตยู ก็ยังมีอยู่ ช่วยเสริมข้อดีของกำลังเสาร์ คือ นอกจากความอดทน รอคอยแล้ว ยังนิ่ง ๆ ไม่แสดงออก ในแบบของดาวเร้นลับอย่างมฤตยูด้วย

๑๑ ผลรวมนี้ มีศัพท์เฉพาะ ที่เรียกว่า ราชาโชค ตำราของอาจารย์นภา วรบุตร ให้ความหมายว่า “บารมี” ซึ่งผมว่ามีความชัดเจนดี หมายถึง การเสียสละ เพื่อเป้าหมายบางอย่าง อาจารย์ผมบอกว่า ผลรวมนี้ เรียกว่า กำลัง “พระเวสสันดร” คือ ต้องบริจาค ต้องให้ เพื่อสร้างบุญบารมี

ใครที่บวชพระ และมีฐาน “บารมี” หรือเลข ๑๑ อยู่ใต้ดาวพฤหัส และดาวพฤหัสไม่ตกนิยามเสีย เช่น หินะ อริ มรณะ พยายะ อาจารย์ผมท่านว่า บวชต่อไป ตำแหน่งเจ้าคุณไม่ไปไหนเสีย

๑๒ ผลรวมนี้ เป็นกำลังพระราหู ข้อดีก็มี ข้อเสียก็มี ตามแบบพระราหูทุกประการ แต่อย่างที่บอกไว้นะครับ ถ้าออกรูปกำลังแล้ว มักจะแสดงข้อดีมากกว่า จึงหมายถึง การพลิกแพลง ปาฏิหารย์ เล่ห์เหลี่ยม เอาตัวรอด การทำอะไรแบบคลุมเครือ แล้วดันเป็นเรื่องดีขึ้นมา อะไรทำนองนี้

๑๓ ผลรวมนี้ มีศัพท์เฉพาะ ที่เรียกว่า “มหาอุจจ์” ตำราของอาจารย์นภา วรบุตร ให้ความหมายได้ดีมาก ท่านบอกให้แปล มหาอุจจ์ ว่า “วาสนา” นั่นคือ ความก้าวหน้าแบบฉับพลัน แต่ในอีกมุมหนึ่ง หากจะร่วง ก็ร่วงฉับพลันเหมือนกัน หรือจะแปลว่า โดดเด่นก็ได้

๑๔ ผลรวมนี้ มีศัพท์เฉพาะ ที่เรียกว่า “จักรพรรดิ์” อาจารย์นภา วรบุตร ให้ความหมายว่า “เกียรติ” หมายถึงการยอมรับ ชื่อเสียง ศักดิ์ศรี

๑๕ ผลรวมนี้ คือ “กำลังจันทร์” เอาข้อดีของดาวจันทร์มาใช้แปลความได้เลย นั่นคือ การดูแลเอาใจใส่ ความเมตตา เสน่ห์ ความสวยงาม ใจดี

๑๖ ผลรวมนี้ มีศัพท์เฉพาะ ที่เรียกว่า “พระโสฬสมหามงคล” หรือ “โสฬส” อาจารย์นภา วรบุตร ให้ความหมายว่า “ทรัพย์” หมายถึงทรัพย์จริง ๆ ก็ได้ หมายถึง ความสำเร็จตามความปราถนาก็ได้ ลองมองดูเลข ๑๖ ให้ดี แล้วย้อนกลับไปดูความหมายของดาวกระทบ ๑+๖ จะเห็นว่า มีความสอดคล้องต้องกันตามสมควร

๑๗ ผลรวมนี้ คือ “กำลังดาวพุธ” หมายถึงความคล่องตัว การปรับตัว ปฏิภาณ ไหวพริบ เอาข้อดีของดาวพุธมาใช้ได้เลย

๑๘ ผลรวมนี้ มีศัพท์เฉพาะที่เรียกว่า “มหาจักรพรรดิ” อาจารย์นภา วรบุตร ให้ความหมายว่า “อำนาจ” เป็นฐานที่ส่งคุณด้านการครอบครอง การเป็นเจ้าของ ควบคุม สั่งการ ความยิ่งใหญ่ ส่วนใหญ่มักจะเกิดจากความสามารถของตนเองเป็นหลัก

๑๙ ผลรวมนี้ คือ “กำลังดาวพฤหัส” มีข้อเด่นด้านผู้ใหญ่สนับสนุน สติปัญญา การเรียนรู้ที่ดี มีฐานความรู้ที่ดี การได้รับการชี้แนะ ตักเตือนในทางที่ดี

๒๐ ผลรวมนี้ มาจาก “๑๐+๑๐” คือกำลังเสาร์บวกกันสองครั้ง บางคนเรียกว่าฐาน เสาร์กำลังสอง ก็มี บางตำราบอกว่า เป็นฐาน “มฤตยู” และในฐานนี้ ดาวมฤตยู หรือเลข ๐ ส่งผลรุนแรงมาก ถ้าจะเทียบกันง่าย ๆ มฤตยูในเลข ๑๐ เขาอยู่กับเลข ๑ และดาว ๑ เป็นดาวของอำนาจ ๐ เลยไม่กล้าแสดงผลอะไรนัก แต่กับ ๒ แล้ว ๐ ค่อนข้างจะกล้ามากกว่า เลยแสดงออกมากสักนิด

ผลรวมนี้ จึงหมายถึงความเปลี่ยนแปลง วิบัติ ฉับพลัน ทันที มักจะเปลี่ยนแปลงในทางที่ไม่ค่อยดีมากกว่า ใครมีดาวตำแหน่ง ปัตนิ ชนกับฐาน ๒๐ เท่าที่ดูมา บทจะเลิกกับแฟน ก็เลิกกันง่าย ๆ ของเขาแรงจริง ๆ

๒๑ ผลรวมนี้ คือ “กำลังศุกร์” อาจารย์ผมเรียกว่า “ฐานพระโพธิสัตว์” เพราะดาวศุกร์ เขาเป็นดาวปราถนาดีต่อดาวอื่น ๆ อยู่แล้ว และที่สำคัญ ในวิชาเลข ๗ ตัว ๔ ฐาน มีเพียงเลขเดียวเท่านั้น ที่มีโอกาสได้ผลรวมนี้ คือ เลข ๗ จะหมายถึง ความมานะบากบั่นเพื่อคนอื่น ๆ ศุกร์กับเสาร์ เป็นดาวคู่ศัตรูด้วย หมายถึงหวานอมขมกลืน อาจจะต้องช่วยเหลือกันแบบทนทุกข์ทรมาณเสียหน่อย กว่าจะสำเร็จผล เหมือนพระโพธิสัตว์ กว่าจะบรรลุโพธิญาณ ก็ช่วยสรรพสัตว์จนเหนื่อย

ผลรวมนี้ จึงหมายถึงความเมตตา ความสุขจากการช่วยเหลือ ความปราถนาในความสุขที่ต้องผ่านความเหนื่อยยากนา ๆ ประการ

การอ่านพื้นดวงแบบง่าย

ลองดูดวงตัวอย่างสักดวงนะครับ ดวงนี้ เกิด วันพฤหัส เดือน ๙ ปีขาล

ทบทวนนิดนึงนะครับ พฤหัส คือเลข ๕ ตั้งแถววัน

เดือนไทยเดือน ๙ ตั้งแถวเดือนโดยการเอา ๙-๗ ได้ ๒ ตั้งแถวเดือน

ปีขาล เลข ๓ ตั้งแถวปี

๕ ๖ ๗ ๑ ๒ ๓ ๔

๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๑

๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๑ ๒

----------------------------------------------------------------------------

๑๐ ๑๓ ๑๖ ๑๒ ๑๕ ๑๑ ๗

ตั้งดวงเสร็จสรรพ เราเอาผังของ เรือนทั้ง ๒๑ นิยาม มาตั้งประกบเลยครับ

อัตตะ หินะ ธนัง ปิตา มาตา โภคา มัชฌิมา

ตนุ กดุมภะ สหัสชะ พันธุ ปุตตะ อริ ปัตนิ

มรณะ ศุภะ กรรมะ ลาภะ พยายะ ทาสา ทาสี



อ่านเรื่องอะไร เราใช้ เรือน กับดาว เป็นสำคัญ

อย่างจะถามว่า ดวงนี้เป็นคนยังไง ถามแบบนี้ ต้องจับอัตตะก่อนล่ะครับ

อัตตะ เป็นดาวพฤหัส เรามาดูตำแหน่งอื่นของดาวพฤหัสบ้างครับ ว่าตรงกับตำแหน่งอะไรบ้าง

ดวงนี้ อัตตะ เป็นเลขเดียวกับพันธุ ที่หมายถึงญาติพี่น้องก็ได้ หมายถึงรากเหง้าของชีวิต คือ จิตใจก็ได้ นอกจากเป็นเลขเดียวกับพันธุแล้ว ยังเป็นเลขเดียวกับ นิยาม กรรมะ อีกด้วย

กรรมะ คือ การกระทำ การรับผิดชอบ อาชีพการงาน ใช่ไหมครับ

เราแปลพลิกแพลงยังไงให้มันสวย ผสมคำให้มันน่าฟัง ก็ใช้ได้แล้วครับ

ในที่นี้ ก็มีความหมายว่า คน ๆ นี้ เป็นคนที่ผูกพันกับญาติพี่น้อง และรับผิดชอบกับญาติพี่น้องเป็นอย่างดี ก็ได้ครับ ถ้ามองพันธุเป็น บ้านเกิด พื้นเพ ก็จะหมายถึงว่า รับผิดชอบ มีภาระต่อถิ่นเกิด ได้เป็นอย่างดี

อาจจะแปลโดยเอาพันธุขึ้นก่อนก็ได้นะครับ แปลว่า ญาติพี่น้อง ช่วยเหลือ การงานของเจ้าชะตาเป็นอย่างดีก็ได้

หรือแปลโดยเอากรรมมะขึ้นก่อน ว่า ภาระหน้าที่ ของเจ้าชะตา นั้น เป็นภาระที่ตัวเองต้องกระทำกับญาติพี่น้อง หรือถิ่นเกิด ก็ได้

ถ้าแปลพันธุเป็น “ใจ” ก็หมายความว่า เจ้าชะตา มีใจ ฝักใฝ่ ในภาระการงานมาก ถ้าอย่างนี้ ก็แสดงว่า เป็นคนขยันล่ะครับ

แปลอย่างนี้ เอาเรือนชนเรือน เอานิยามชนนิยามเลยก็ได้ครับ ง่ายดี แต่นั่นแค่เบื้องต้นครับ

เรายังมีอีกสองอย่างที่จะต้องอ่าน คือ ดาว กับฐานผลบวกไงครับ

ดาวที่เราสนใจ คือดาวพฤหัส ดาวนี้ คือดาวผู้ใหญ่ ดาวครู เมื่อเป็นอัตตะ ก็จะหมายถึง เป็นคนใฝ่ศึกษาหาความรู้ ถามว่าทำไมถึงใฝ่ เพราะพฤหัส ตรงกับนิยามพันธุ ที่หมายถึง “ใจ”ด้วยไงครับ

พันธุ ก็ดาวพฤหัส จะหมายถึงว่า ญาติพี่น้อง ก็ใฝ่หาความรู้ ก็แปลได้ ครับ หรือ ญาติพี่น้อง ช่วยชี้แนะ สนับสนุน ก็ได้ เพราะดาวพฤหัส ท่านแปลได้หลายทางอยู่

กรรมะ ก็ดาวพฤหัส อาจจะหมายถึงอาชีพการงานหรือภาระ ต้องชี้แนะ ตักเตือน หรือให้ความรู้ ก็ได้

เอามารวมกัน ทั้งอัตตะ พันธุ กรรมะ จะแปลว่า เจ้าชะตา เป็นคนมีใจฝักใฝ่ ในการแสวงหาความรู้ เพื่อการงานอาชีพ ก็ได้ครับ

และแถมมีฐาน ๑๖ ใต้เลข ๕ อีกด้วย ฐาน ๑๖ เป็นฐานผลบวก คือ โสฬส แปลว่า ประสบความสำเร็จดังใจปราถนา หรือทำให้ความปราถนานั้นเป็นจริง

แปลรวม ๆ ก็จะได้ว่า เจ้าชะตา เป็นคนฝักใฝ่ ในการแสวงหาความรู้ เพือการงาน และทำให้ความปราถนานั้นเป็นจริง

อ่านดวงกันสนุกเลยใช่ไหมครับ

นั่นคือ อ่านแค่ อัตตะ นะครับ ยังสนุกขนาดนี้

มาดู ตำแหน่งอื่นกันบ้าง เอาตนุแล้วกัน

ตนุเป็นดาวจันทร์ ตรงกับนิยาม มาตา และทาสี ฐาน๗ คือเสาร์เล็ก หรือรูปดาวเสาร์

ตนุ คือ ตัวตนเหมือนอัตตะ แต่เป็นตัวตนที่ “ตั้งอยู่” หรือปรากฏให้ใคร ๆ ได้เห็นหรือประจักษ์ เมื่อตรงกับมาตา ก็จะหมายถึง เจ้าชะตาผูกพันกับแม่ ก็ได้ และแถมยังได้นิยาม ทาสี ซึ่งหมายถึง ความลำบากใจ เหนื่อยยากเพื่อผู้อื่น

ลองแปลให้ได้ความดูหน่อยนะครับ จะแปลว่ายังไง เอาความหมายมาเชื่อมต่อกันนี่แหละ สุดยอดของความยากเหมือนกัน พยากรณ์ได้ไม่ได้ บางทีไม่ใช่ว่า ไม่รู้นะครับ แต่รู้แล้วพูดไม่ออกก็มี

แปลว่า เจ้าชะตา ผูกพันกับมารดา หรือคล้ายกับมารดา ที่มักจะยอมเหนื่อยยากลำบากใจ เพื่อผู้อืน ก็ได้ครับ หรือจะแปลว่า เจ้าชะตา เหนื่อยใจในการดูแลผู้อื่นก็ได้

อ้าวทำไมล่ะครับ เพราะมาตา แปลว่า การดูแล ก็ได้นี่ครับ

อ่านกันสนุกเลยล่ะ ทีนี้ มาดูต่อไป ตนุ เป็นดาวจันทร์ ลองดูนะครับ ว่าดาวจันทร์ เป็นยังไง ก็คือ ความอ่อนโยน เรียบร้อย จุกจิกจู้จี้ เมตตา ใจดี ตัวตนของเจ้าชะตาเขาเป็นคนอย่างนี้

ปัญหาคือ จันทร์นั้น ฐานผลบวก ชนกับ ๗ คือ เสาร์เล็ก แสดงถึงความเป็นคนมีความวิตกกังวล และ ๒+๗ แปลว่า การเดินทางไกล ความว้าเหว่ น่าจะต้องเดินทางบ่อย หรือมีท่าทางเงียบ ๆ ไม่สุงสิงกับใคร

ดูการเงินของดวงนี้ซิ เราจับกดุมภะ มาอ่าน เพราะหมายถึงรายได้ รายจ่ายประจำตัว เราอ่านให้หมดครับ

กดุมภะ เป็นดาวอังคาร นิยามตรงกับมรณะ โภคา ฐานผลบวก ได้ ๑๐ หมายถึงอะไรครับ ลองอ่านดู

มรณะ หมายถึงการเปลี่ยนแปลง การสูญ การตาย อันนี้ คือความหมายโดยทั่วไป แต่หากเอามาใช้กับการเงิน เราแปลเสียให้มันดี ว่าการใช้จ่าย น่าจะดีกว่านะครับ

โภคา แปลว่า อสังหาริมทรัพย์ บ้าน รถ

ฐาน ๑๐ คือ กำลังเสาร์ ซึ่งหมายถึง มัธยัสถ์ ประหยัด ก็ได้ครับ

ลักษณะดาวกระทบ อังคาร เจอเสาร์ คือ คู่แตกหัก การเปลี่ยนแปลงแบบทุกข์ฉับพลัน

แปลว่ายังไงดี ก็พยายามเรียง ๆ กันให้ได้ความตัดโน่นแต่งนี่ให้ฟังออกน่ะครับ

ผมแปลโดยสรุปก็แล้วกัน การเงินของดวงนี้ มักใช้จ่ายอย่างมัธยัสถ์ และสะสมอดออมเอาไว้ ถึงเวลาก็จ่ายตูม ซื้อของใหญ่เลย เช่นซื้อบ้าน ซื้อรถ อะไรทำนองนี้

มันมายังงี้ได้ไง ก็ลองเอาสิ่งที่ผมแปล ดุ้น ๆ มาเรียง ๆ กันดูนะครับ

ดวงนี้ แสดงว่า ขี้เหนียวล่ะสิ คงไม่อย่างนั้นหรอกครับ เพราะดาวที่ทำหน้าที่กดุมภะ เป็นดาวอังคาร ดาวอังคารเขาดาวใจถึง ไม่กลัวจ่ายอยู่แล้ว คงไม่ขี้เหนียวหรอก แต่ว่า โดนอิทธิพลกำลังเสาร์ ทำให้เป็นคนประหยัดมัธยัสถ์ต่างหาก

แถมยังมีดาว ๐ มฤตยูแฝงอยู่ รายนี้ มีไม่มี ก็เก็บเงียบซ่อนเร้น ไม่มีใครรู้หรอกครับ

อ่านชักสนุกนะครับ ลองอ่านตำแหน่งอื่น ๆ ต่อไปอีกนะครับ

จะถามถึงคู่ครองของดวงนี้ เราต้องจับเรือนปัตนิ ซึ่งในดวง ตรงกับเลข ๑

จะเห็นว่า เลข ๑ ไม่ได้อยู่ที่ ตำแหน่ง ปัตนิ ที่เดียว แต่ยังอยู่ในตำแหน่ง ทาสา และปิตา ด้วย

เวลาอ่าน ก็เอาแต่ละนิยามมาอ่านรวม ๆ กันครับ

ปัตนิ –คู่ครอง หรือความสัมพันธ์ กับคู่ครอง(ตรงนี้ มองปัตนิ เป็นคำกริยา) จะต้องเหน็ดเหนื่อย (ทาสา) เพราะการจัดการเรื่องราวแวดล้อมต่าง ๆ (ปิตา ที่หมายถึงการจัดการภายนอก)

ถามว่า ทำไมถึงเอาความหมายแบบนี้ล่ะ เพราะมันดู “เข้าท่า”ที่สุด ไงครับ

ดูใต้เลข ๑ ที่ทาสา จะเห็นเป็นเลขผลรวม ๑๑ หรือบารมี แปลให้เข้าท่า อีกก็คือ เสียสิ่งหนึ่ง เพื่ออีกสิ่งหนึ่ง ที่สำคัญกว่า

ก็แปลให้จบซะ คือ คู่ครอง หรือความสัมพันธ์กับคู่ครอง จะต้องเหน็ดเหนื่อย เพราะการจัดการเรื่องราวแวดล้อมต่าง ๆ โดยที่ทำไปทั้งหมด เพราะยอมเสียสละ เพื่อสิ่งอื่น ๆ ที่สำคัญกว่า

ทีนี้ ดาวปัตนิ คือ ดาวอะไรในชะตา ก็คือดาว อาทิตย์ ใช่ไหม

ดาวอาทิตย์ มีความหมายว่า เกียรติ ศักดิ์ศรี อำนาจ ความยิ่งใหญ่

ตรงนี้ พอจะขยายความได้แล้วนะครับ ว่า ที่ยอมเหนื่อย จัดการเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยความเสียสละน่ะเพื่ออะไรสักอย่างน่ะ สิ่งนั้นคืออะไร นั่นคือ ศักดิ์ฐานะ อำนาจ นั่นเอง

ดูเรื่องคู่ครองแล้วชักมัน ลองดูเรื่องความรักบ้างซิ เพราะมันเกี่ยวข้องกันนี่ครับ

ความรักนี่ เขาให้ดูดาวศุกร์ ในชะตา ดาวศุกร์ อยู่เรือน “หินะ “ เรือน “ปุตตะ” และ “ลาภะ” ฐานผลรวมได้ ๑๒ กำลังพระราหู

หินะ แปลว่า เสื่อม ปุตตะ แปลว่า เด็ก ลาภะ คือลาภผล ฐานพระราหู และข้อสำคัญ ดาวศุกร์กับพระราหู ในการอ่านดาวกระทบ แปลว่า คู่ลุ่มหลง

แปลยังไงครับ ก็แปลว่า ความรัก เสื่อมเพราะมีเด็กเป็นลาภ ด้วยความมัวเมาลุ่มหลงน่ะสิ

โห ไม่เห็นได้ความเลย มั่วจริง ๆ เราลองขัดเกลาความหมายอีกสักนิดนะครับ

จะอึ้ง ว่า อ้าว รายนี้ หลงมีอะไรกันแล้วจนมีลูกก่อนแต่งงานนี่หว่า

คนจะดูดวงเก่งไม่เก่ง จริง ๆ ไม่ใช่อยู่ที่หลักหรอกนะครับ แต่อยู่ที่การทำให้การทำนายมันออกมาฟังแล้ว เข้าใจ และดูดีต่างหาก หมอดูเลยไม่ได้เป็นกันง่ายซักเท่าไหร่เพราะวุ่นกับการทำนายนี่แหละ

ข้อสังเกตนะครับ ดวงนี้ เกิดวันพฤหัส จะเห็นว่า ใครก็ตามที่เกิดวันพฤหัส ตำแหน่งหินะ ต้องเป็นดาวศุกร์ตลอด ดังนั้น ความหมายของหินะ ที่แปลว่าเสื่อมจะเกิดขึ้นตลอด

อ้าว ยังงี้ คนวันพฤหัสทุกคนก็ความรักแย่น่ะสิ เพราะเสื่อมตลอดทั้งปีทั้งชาติ

ในความเป็นจริง จะมองอย่างนั้นไปเสียทั้งหมดไม่ได้ หินะ มันก็แค่ตำแหน่งเดียวนะครับ อย่าลืม คุณสมัคร สุนทรเวช ก็เป็นคนเกิดวันพฤหัส แต่ก็เห็นมีครอบครัวที่ดี อยู่กันจนแก่จนเฒ่า

ตำแหน่งฐานผลบวกของดาวศุกร์นะครับ ของคุณสมัคร เป็นเลข ๑๓ มหาอุจจ์ ที่แปลว่าวาสนา ตำแหน่งที่ฐานปี ของดาวศุกร์ ก็คือ ศุภะ ซึ่งแปลว่าความดีงาม เจออะไรดี ๆ หลายเด้งมากลบ หินะ ก็ทำอะไรไม่ได้ครับ

ย้อนกลับมาดวงข้างบน จะเห็นว่า ดาวศุกร์ความรัก ติดหินะ ซึ่งแปลว่า เสื่อม ฐานผลรวมเป็นราหู คู่ลุ่มหลงกับดาวศุกร์อีกต่างหาก อย่างนี้ ก็เรียบร้อนสิครับ จะแปลให้ดีได้ยังไงล่ะ ต้องแปลแบบดังว่าแหละครับ ซึ่งจริง ๆ เจ้าของดวงชะตานี้ ก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ครับ

ไม่อยากบอกหรอกนะครับ ว่าดวงใคร แต่เอาเป็นว่า บอกปั๊บก็ร้องอ๋อเลยล่ะ

จะเห็นว่า เราอ่านดวงชะตาได้สองแบบ หนึ่ง จับเรือน จับนิยาม สอง จับดาว สองวิธีนี้ ทำให้ทายกันได้หลากหลายแล้วล่ะครับ

จะยาก ก็คือ การแปลความหมายให้ฟังแล้ว ดูดี นี่แหละครับ ยากที่สุด

สรุปขั้นตอนง่าย ๆ นะครับ

๑. พิจารณาว่าเรื่องนั้น ๆ ที่เราสนใจจะทำนาย ใช้ดาวอะไร และเรือนอะไร เช่น ความรัก ต้องใช้ ดาวศุกร์และเรือนปัตนิ

๒. พิจารณาว่า เลขเดียวกัน ตรงกับเรือนอะไรบ้าง และมีฐานผลบวกเป็นเช่นไร

๓. นำความหมายมาเรียบเรียงให้ดูเข้าท่าที่สุด และมองให้ได้ทุกมุม ความหมายใด ไม่เข้าท่า ก็อาจจะต้องปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม

เห็นมั้ยครับ ไม่ยากเย็นอะไรเลย สำหรับการอ่านดวงชะตาขั้นต้น

มีคนถามว่า ที่ให้จับ เรือน กับดาว มาอ่านนั้น อยากจะรู้ว่า ท้ายที่สุด อะไรสำคัญกว่ากัน ระหว่าง เรือน กับดาว

คงต้องอธิบายด้วย ตัวอย่างดวงนี้ครับ

ชะตากำเนิด อยู่ที่ วันอาทิตย์ เดือนหก ปีขาล

ผูกดวงได้ดังนี้

๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗

๖ ๗ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕

๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๑ ๒

-------------------------------------------------------------------------

๑๐ ๑๓ ๙ ๑๒ ๑๕ ๑๑ ๑๔

ลองอ่านการเงินดูนะครับ

การเงิน จับเรือนกดุมภะ จะได้ ดาว ๗ มองตำแหน่งดาว ๗ อีกสองตำแหน่ง จะได้ มัชฌิมา กับพยายะ ฐาน ๑๕ กำลังดาวจันทร์

มองการเงินที่เป็นความมั่งคั่ง ก็จับเรือนธนัง มาดู ได้ ดาว ๓ ชะเง้อดู เลข ๓ อีกสองตำแหน่ง ได้ ปุตตะ และมรณะ ฐาน ๑๐ กำลังดาวเสาร์

จะเห็นว่า การเงินไม่น่าจะดีเท่าไหร่นะครับ ทั้งถูกเบียดเบียน เพราะกดุมภะ ตกพยายะ แถม ฐานผลบวก ไม่ส่งคุณสักเท่าไหร่ เนื่องจากดาว ๗ มีฐานผลบวกเป็น กำลังดาวจันทร์ และเสาร์กับจันทร์ นี่คู่พลัดพราก ว้าเหว่

มาดูธนัง ความมั่งคั่ง ก็ไม่น่าดี ตกปุตตะ มรณะ มีคำว่ามรณะก็เสียวไส้แล้ว แถมยังตกฐาน ๑๐ กำลังเสาร์ อังคารเสาร์ เป็นดาวกระทบที่ให้ผลรุนแรงไม่ใช่น้อย

มองดูผิวเผิน คงไม่เอะใจเท่าไหร่ ทายไปตามตรง ว่า ดวงนี้ การเงินไม่ค่อยดี

แต่ว่า ดวงนี้ เป็นดวงเมืองกรุงเทพฯ นี่สิครับ

ดวงเมือง หรือดวงสถานที่ใด ๆ ถ้าหากยึดถือหลักการให้ดี เขาจะมีการให้ “ฤกษ์กำเนิด” ที่ดีที่สุด ต่างจากดวงคนนะครับ เพาะคนนั้น บางทีเลือกเกิดไม่ได้ แต่ดวงเมืองเลือกเกิดได้

มีคำถามคือ ผู้ให้ฤกษ์ น่าจะเป็นโหราจารย์ชั้นสูง ในราชสำนัก ทำไม ถึงได้ให้ฤกษ์เช่นนี้ ฤกษ์ที่ทำให้บ้านเมือง มีสถานการเงินไม่ดี เอาเสียเลย

แต่ต้องเข้าใจอย่างหนึ่งนะครับ โหราจารย์ ผู้ให้ฤกษ์ ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญ มีความเก่งกาจกว่าพวกเราอย่างเทียบไม่ได้ ย่อมต้องไม่ให้ฤกษ์แบบนี้โดยไม่มีสาเหตุความนัยเป็นแน่ ผมเองก็เคยสงสัย จนเวลานี้ หายสงสัยแล้ว เพราะว่า “มองแต่เรือน” อย่างเดียวไม่ได้

ลองตั้งต้นจาก “ดาว”สิครับ

การเงิน ต้องจับดาวศุกร์ จะเห็นว่า ดาวศุกร์อยู่ตำแหน่ง โภคา ตนุ และลาภะ ฐานกำลังพระราหู คู่ลุ่มหลง ซึ่งในบางจังหวะ ดาวคู่นี้ก็ให้คุณด้านลาภผล แต่ได้มา ก็ต้องใช้จ่าย เพื่อความสุขสำราญ

อึ้งเลยไหมครับ ทำไมกลายเป็นหนังคนละม้วนไปได้

นี่ท่าน จับการเงิน ใส่ตนุ คือตัวตนของเมืองเลยนะครับ แถมลาภ แถมความมั่นคง ให้อีก ฐานก็เป็นฐานที่หนุนเรื่องลาภผลเสียด้วย

ตำแหน่งกดุมภะ เป็นดาวเสาร์ แต่ดาวเสาร์ ในความหมายอีกความหมายคืออะไรครับ ลองย้อนกลับไปมองสิครับ คือความหมายของ ประชาชน พลเมือง ชาวไร่ชาวนา เกษตรกรใช่หรือไม่

พอเป็นกดุมภะ พยายะ ก็เท่ากับ ให้ประชาชน เบียดเบียนการเงินของประเทศ นั่นเอง แต่ท่านคงกลัวว่า เบียดเบียนมากไป ประเทศจะพังซะก่อน เลยให้ดาวเสาร์อยู่ตำแหน่ง มัชฌิมา เสียอีกหนึ่งตำแหน่ง

เลยกลายเป็นว่า ประชาชน เบียดเบียนเงินของประเทศอย่างพอดี ๆ

พูดง่าย ๆ คือ วัตถุประสงค์ของการวางดวงเมืองนั้น มีเงินก็ให้ประชาชนอย่างเรา ๆ นี่แหละ ได้ใช้จ่าย

พออ่านตั้งต้นจากดาว กลายเป็นหนังคนละม้วนเลยครับ

ธนัง เป็นปุตตะ เป็น มรณะ แต่ว่า เป็นดาวอังคาร และฐานกำลังเสาร์

ดาวอังคาร คืออะไร คือทหารใช่ไหมครับ

สมัยก่อน ยิ่งสมัยตั้งกรุง เป็นสมัยที่ศึกสงครามเยอะ การวางดวงเมือง เพื่อให้ทหาร สร้างความมั่งคั่งให้ประเทศ ก็ไม่แปลก แต่ท่านก็วางให้ดาวทหาร เป็นปุตตะ คือ ลูกหลาน คงอยากจะให้ทหารคือ ลูกหลานของประเทศ และวางไว้ที่มรณะ ที่หมายถึงการเปลี่ยนแปลง ซึ่งหมายถึงวิถีของประเทศ จะถูกกำหนดโดยทหาร

ฟังแล้วเครียดเล็กน้อยนะครับ แต่ช้าก่อน ท่านวางเงื่อนไว้อีกเงื่อนหนึ่งนะครับ

นั่นคือ เอาดาวอังคารไปตั้งที่ฐานของกำลังดาวเสาร์

ดาวเสาร์ เมื่อกี้เราก็เห็นแล้วนะครับว่าหมายถึงอะไร

ครับ ใช่แล้ว ประชาชน นั่นเอง นั่นคือความหมายว่า ทหาร จะทำอะไรก็ตาม ต้องอยู่ในเงื่อนไขของประชาชนอีกทีหนึ่ง ถ้านอกลู่นอกทาง ดาวคู่ ๓๗ เป็นดาวคู่แตกหักอยู่แล้ว

พังครับ ทหารคนไหน ทำการโดยไม่เห็นแก่ประชาชน จะมีอันวิบัติไปทุกราย

แล้วจะอึ้งว่า โหราจารย์ระดับสูงในรั้วในวัง ท่านวางดวงเมืองไว้เหนือชั้นจริง ๆ

มามองดูดาวผู้นำ ในทางโหร เขายึดถือว่า ดาวอาทิตย์เป็นผู้นำ จะเป็นว่า วางอาทิตย์ไว้ที่ตำแหน่งอัตตะ สหัสชะ ทาสา ฐานกำลัง ๑๑ ราชาโชค

เห็นทาสา ก็ต้องแปลว่าเหนื่อยยากใช่ไหมครับ ผู้นำประเทศ หรือกษัตริย์ (สมัยนี้ ต้องถือว่า นายกฯ นะครับ อยู่ในตำแหน่งนี้ ส่วนดาวกษัตริย์ ย้ายไปใช้ดาวพฤหัสแทน) ต้องเหนื่อย เสียสละ (ฐานบารมีนี่ครับ)

เพื่อตัวประเทศเอง(อัตตะ)

อีกตำแหน่ง คือสหัสชะ อย่าลืมนะครับว่า ตำแหน่งนี้ มีความหมายเช่นเดียวกับดาวพุธ และดาวพุธ มีความหมายหนึ่ง คือ การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า

โหราจารย์ จะวางให้ผู้นำประเทศ นั้น เหนื่อย เพื่อประเทศ เสียสละ และแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าให้ประเทศเก่งครับ

โห วางดวงเมืองแบบนี้ สุดยอดสิครับ

ลองนั่งไล่อ่านตำแหน่งอื่น ๆ ดูนะครับ แต่ให้อาศัย “ดาว” เป็นโจทย์ตั้งต้น จะเห็นถึงความเป็นอัจฉริยะภาพของโหราจารย์ระดับ “โหรวัง” ว่าท่านเก่งกาจในการวางดวงเมืองขนาดไหน

แต่ตรงนี้ ก็จะมองอะไรได้ออกแล้วนะครับ ว่า ท่านให้ความสำคัญของ “ดาว” มากกว่า “เรือน” เพราะ ดาวนั้น แสดงถึงบุคลิกภาพแท้ ๆ แต่เรือน เป็นเหมือน ตำแหน่งหน้าที่การงาน ซึ่งอาจจะมีการปรับเปลี่ยนได้ตามช่วงเวลา

คนพูดเก่งมาตั้งแต่เล็กน้อย ก็ต้องพูดเก่งจนตาย ไม่เหมือนคนที่ต้องพูดตามหน้าที่ใช่ไหมครับ

ท่านมองว่า เมืองของเรา ไม่ได้อยู่กันแค่ประเดี๋ยวประด๋าว ต้องอยู่กันยาวนาน เราตายไปแล้ว เมืองก็ต้องอยู่ เลยผูกดวง วางฤกษ์ โดยใช้ดาวเป็นหลัก เพราะดาวยังไงก็คือดาว ไม่มีเปลี่ยน

โหราศาสตร์ เขาจะมีวิชาหนึ่ง คือ ลัคนาจร วิชานี้จะทำให้สภาพเรือนชะตา ปรับเปลี่ยนไปตามอายุ ปีนี้ ดาวอาทิตย์ ทำหน้าที่เป็นตนุ แต่ปีถัด ๆ ไป อาจจะทำหน้าที่เป็นมรณะก็ได้

แต่ไม่ว่าอย่างไร ดาวก็ยังไม่มีเปลี่ยน ดาวพฤหัส กี่ปี ๆ ก็เป็นดาวพฤหัส

ตรงนี้อาจจะเป็นคำตอบนะครับ ว่า ท้ายที่สุดแล้ว อะไรสำคัญกว่ากัน

ใครอ่านดวงโหราศาตร์เป็น ลองเอาดวงเมืองมานั่งอ่าน แล้วใช้ “ดาว” เป็นตัวตั้งต้นนะครับ ท่านจะเห็นความมหัศจรรย์

โหรสมัยก่อน ท่านวางดวงเมืองไว้ลึกซึ้งจริง ๆ ครับ

วิชากระทบดาว

ดังที่เคยบอกมาแล้ว ว่าเลข 7 ตัวนั้น ดาวตำแหน่งต่าง ๆ สามารถ กระทบกันได้เกือบทั้งดวง วิธีนี้ ทำให้การดูดวงด้วยเลข 7 ตัว มีความหลากหลายมากเข้าไปอีก

เช่น ปัตนิ สามารถกระทบกับ ปิตา มาตา ทำให้รู้ว่า คู่ครอง เข้ากับพ่อแม่ เจ้าชะตาได้ดีแค่ไหน

กัมมะ เป็นดาว 3 บางที อาจจะไม่ได้ทำงานเกี่ยวกับดาว 3 ตรง ๆ แต่อาจจะทำงานที่ดาว 3 เขาไม่รังเกียจก็ได้ เช่น ทำงานแบบดาว 6 ดาว 5 เพราะเป็นคู่มิตรคู่สมพลกัน แต่ ไม่น่าจะทำงานเกี่ยวกับดาว 1 เพราะเขาเป็นคู่ศัตรูกันดังนี้

หลักการกระทบดาว นั้นสำคัญมาก ทั้งการดูดวงแบบพื้นดวงและดวงจร แต่สิ่งสำคัญเรื่องหนึ่งนั่นคือ หากกระทบดาว แบบ เอานิยามด้วย ควรหลีกเลี่ยง การกระทบโดยใช้แถวเดียวกันกระทบ

เพราะอะไรหรือครับ เพราะว่า อย่างสมมติ คนเกิดเดือน 7 ยังไง ๆ ตนุ (ตัวตนแบบตั้งอยู่ คือ 7 ) ก็ต้องไม่ถูกกับ ปัตนิ(คู่ครอง คือดาว 6 )อยู่แล้ว

ทีนี้ จะบอกว่า คนเกิดเดือน 7 เรื่องความรักแย่ตลอดก็คงไม่ใช่

ในกรณีอย่างนี้ หากจะดูความสัมพันธ์กับเจ้าชะตา ควรเลือกกระทบกับ อัตตะ (แถววัน)จะดีกว่า

สูตรนี้ ใช้เฉพาะดูพื้นดวงนะครับ หากดูดวงจร ท่านกระทบได้ทั่วดวงเลยครับ ไม่ต้องไปพะวง ว่า แถวเดียวหรือไม่

จับลุยกระทบได้เต็มที่ครับ

วิธีดูชะตารายปี(ทายจรรายปี)

ที่เล่ามาทั้งหมด เพิ่งเป็น การ “ดูพื้นชะตาชีวิต” เท่านั้นนะครับ

แต่ดวงที่เรามีอยู่ไม่ใช่ว่าจะใช้ได้ตลอดทั้งชีวิต มันจำเป็นต้องมีขึ้นมีลง ตามจังหวะของเวลาบ้าง

นี่แหละครับ สำคัญนัก เพราะว่า หากอ่านไม่ออกว่า ช่วงปีนี้ ดวงขึ้นหรือตก เราก็จัดการกับชีวิตเราไม่ได้เหมือนกัน

ดังนั้น วิชาการพยากรณ์ เขาก็เลยมี การ “ดูดวงจร” ซึ่งแต่ละวิชา เขาก็จะมีวิธีเฉพาะ

เลข 7 ตัว ก็มีวิธีดู เหมือนกัน แต่ก็หลากหลาย แต่ละวิธี ใช้การได้ตามวิธีของแต่ละอาจารย์แต่ละสำนัก

แต่วิธีที่ผมนำมาเสนอนั้น พิสูจน์แล้ว ว่าใช้ได้ดี และอ่านได้เด็ดขาดนัก

เราให้ดวงเขา “จรแนวนอน” ปีละเลขครับ

อ่านแล้วอาจจะงง เอาดวงตัวอย่างไปใช้ก่อนครับ เจ้าชะตาเกิดวันเสาร์ เดือนหก ปีระกา

ตั้งดวงดังนี้

๗ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖

๖ ๗ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕

๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๑ ๒

๑๖ ๑๒ ๘ ๑๑ ๑๔ ๑๐ ๑๓

เขาบอกว่า จรแนวนอน ปีละช่อง หมายถึงว่า อายุ ๑ ขวบ อายุตกที่ แถววันตัวแรก คือ อัตตะ(ในที่นี้คือ เลข ๗) อายุ ๒ขวบ ตกหินะ (ในที่นี้คือเลข ๑) ไล่ไปเรื่อย ๆ ถึง อายุ ๗ ขวบ ตก มัชฌิมา (ในที่นี้คือเลข ๖)

พอสุดแถวก็ขึ้นแถวเดือน ๘ ขวบ ตกตนุ (เลข๖) ไล่ไปจนกระทั่งครบ ๒๑ ขวบ ที่ ทาสี

อายุ ๒๒ ก็ขึ้นมาไล่นับที่อัตตะอีก เป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ

ทีนี้ มีคำถามว่า จะใช้อายุแบบไหน คือ อายุย่าง หรืออายุเต็มดี

สำหรับผมนั้น ถนัดอายุเต็มครับ หลายตำรา(แทบจะทุกตำราเลยมั้ง) มักจะใช้ อายุย่าง ตรงนี้ก็ตามถนัด

ท่านที่ใช้ อายุย่าง ท่านก็หัวเราะคนใช้อายุเต็ม บอกว่า แหม สูตรของคุณนี่ คุณกะจะไม่ดูเด็กแรกเกิด เลยหรือ เด็กมันก็มีหัวใจเหมือนกันนา อายุ 0 ปี 3 เดือน คุณจะดูยังไงล่ะ

ถ้าถามผมนะครับ ผมก็ตอบง่าย ๆ ว่า เด็กแรกเกิด ดวงเขาจะฝากไว้กับคนอื่น ๆ ความเป็นตัวตน ยังไม่เกิดอย่างสมบูรณ์ คุณก็ใช้ ทาสี หรือตำแหน่งสุดท้าย ดูเอาสิ และผมก็ใช้ของผมอย่างนี้ ดูเด็กแรกเกิดแม่นยำมาโดยตลอด

เอาเป็นว่า อยากให้ท่าน “ทดลอง”ดูครับ อายุเต็ม หรืออายุย่าง ของพรรค์นี้ ลองกันได้ครับ

แต่ละปี ๆ เราจะอ่านง่าย ๆ สมมติว่า อายุ 15 ขวบ อายุจรตกมรณะ เลข ๓ เราก็ดูว่า เลข ๓ ไปโดนเรือนใดบ้าง ในที่นี้คือ ปิตา กับปุตตะ เราก็อ่านเรือนอ่านดาวไปตามนั้น ว่าปีนั้น ชะตานี้จะเกี่ยวข้องกับเรื่องใดบ้าง

แต่อ่านอย่างนี้มีข้อจำกัดนะครับ เพราะดวงมันจะ “ล็อคตามเรือน” อายุ 15 ต้องตกมรณะกันทุกคน อายุ 21 ตกทาสีกันทุกคน

อ้าว จะทำไงดีล่ะทีนี้

ก็ทายไปแบบนั้นน่ะสิครับ อย่าไปเครียด แต่เราไม่ได้ทายกันแค่นี้นี่ครับ

อย่างเช่น ตอนอายุ 21 ตกทาสี เลข ๒ หากจะถามว่า ความรักเป็นอย่างไร เราก็จับที่เรือนปัตนิ เรือนความรักมาทาย ดูซิครับ เป็นเลขอะไร คำตอบคือ เลข ๕ ดาวพฤหัส

เลข ๒ คือดาวจันทร์ ให้เราย้อนไปอ่านเรื่องดาวกระทบ ก็จะพบว่า ได้คู่ธาตุ ความรักดีแน่นอน

นั่นคือ เราเอาดาวจรที่ตกในปีนั้น มา “กระทบ” กับดาวในเรือนต่าง ๆ แล้วอ่านความหมายออกมา จะได้ความหมายทายได้เป็นรายปีเลยครับ

อย่างสมมติว่า ในดวงนี้ อายุ ๓๐ ดวงจรประจำปีตก ๗ ถามว่า ดีไหม ต้องตอบว่าไม่ค่อยดี เพราะดาว ๗ เป็นดาวโทษทุกข์ดังว่า แต่ดูว่า เขาอยู่เรือนอะไรบ้าง คำตอบคือ อัตตะ กดุมภะ พยายะ แปลง่าย ๆ ว่าปีนี้ การเงินของตัวเอง อาจจะถูกเบียดเบียน

เอาตรงนี้ เป็นตัวตั้งต้นก่อนนะครับ

ถามว่า การงานปีนั้นเป็นอย่างไร ดาวการงานเราจับดาวที่เรือนกัมมะ ในที่นี้คือ ดาว ๕ เอาดาว ๗ มากระทบดาว ๕ พลิกไปอ่านข้อที่เป็นดาวจรกระทบจะได้ความว่า อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ เพราะดาวคู่ ๕+๗ เป็นดาวคู่ปฏิวัติ ในกรณีของดาวจรกระทบ เราก็เตือนเจ้าชะตาให้ดี ว่าปีอายุ ๓๐ เตรียมรับมือเรื่องเปลี่ยนแปลงในเรื่องงานให้ดี

ลองดูเรื่องอื่นบ้าง อย่างสมมติเรื่องพันธุ สมมติว่า เจ้าชะตา เขาอยู่กับครอบครัว พ่อแม่ หรือญาติพี่น้อง ปีนั้น ชะตาตกดาว ๗ ดาวเรือนพันธุคือ ๒ เราพลิกอ่านดาวกระทบ ๗+๒ ได้ความว่า คู่พลัดพราก

ปีนั้น อาจจะต้องออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่นแล้วล่ะครับ จะไปต่างประเทศ ต่างจังหวัด ก็อีกเรื่อง แต่ได้จากครอบครัวแน่ ๆ ชั่วคราว หรือถาวรต้องดูกันต่อไปอีกนะครับ

เห็นมั้ยครับ ดูง่าย ๆ ไม่ยากเย็นอะไรเลย แค่ “แม่นเรื่องดาวกระทบ” เท่านั้นเอง

ทีนี้ ก็มีคำถามอีก ว่าอ้าว ถ้าดวงนี้ อายุ ๒๑ อายุก็ตก เลข ๒ อายุ ๔๒ ก็ตกเลข ๒ เหมือนกัน แสดงว่า ถ้าเจอกรณี “อายุวน” มิต้องเจอเหตุการณ์เดียวกันอย่างนี้อีกหรือ

ในความเป็นจริง การอ่านชะตาจร ไม่ได้ใช้เพียงแต่ การจรดาวในชะตาแค่นั้นนะครับ ยังใช้อีกสิ่งหนึ่งนั่น คือ “เลขดาวนักษัตรประจำปีนั้น” เป็นตัวควบคุมอีกอันหนึ่ง

อ่านถึงตรงนี้ อาจจะดูยุ่งยาก เอาเป็นว่า ณ อายุปีนั้น เป็นปีอะไร สมมติว่า ปีชวด อย่างปี ๒๕๕๑ ก็ใช้ปีชวดซึ่งในทางเลข ๗ ตัวแทนด้วยเลข ๑ นี่แหละครับมาใช้

อย่างในกรณีนี้ เจ้าชะตาเกิดปีระกา อายุ ๒๑ ชะตาจรตก เลข ๒ ตำแหน่งทาสี แต่นับไล่นักษัตรไปสิครับ ปีนั้น นักษัตร มะเส็ง เลข ๖

เราได้ดาว ๖ มาควบคุมอีกตัวหนึ่งแล้วนะครับ

ดูพื้นชะตากว้าง ๆ เราจะเห็นว่า ปีนั้น ชะตาจรตามอายุในดวงตก ๒ นักษัตรตก ๖ เราไปดูดาวกระทบอีกแล้วครับ จะเห็นว่า ๒+๖ นี่ แปลว่า คู่รุ่มรวย ฟุ้งเฟ้อ ปีนั้น เตรียมรับมือให้ดี ชีวิตจะมีอะไรโอเวอร์ ๆ เกิดขึ้นหลายอย่างเชียว ทำเป็นเล่นไป

ย้อนมาอ่านดาวจรกระทบแต่ละเรือนกัน สมมติเขาถามว่า ปีนั้นความรักเป็นอย่างไร เราตอบว่าดี เพราะดาวปัตนิเขาเป็นดาว ๕ และ ดาว ๕+๒ เป็นดาวคู่ธาตุ ให้คุณเป็นอันมาก มีโอกาสได้แฟนเป็นตัวตนทีเดียวล่ะ ดีไม่ดีแต่งเลยด้วยซ้ำ

นักษัตรปีนั้น ได้ มะเส็ง เลข ๖ เอา ๖ มากระทบ ๕ ซ้ำ จะได้ ๕+๖ คู่จัดการ พอดี ๆ ความรักที่ว่าจะได้แฟนเป็นตัวเป็นตน ก็อาจจะได้แบบเรียบ ๆ เรื่อย ๆ ไม่หวือหวามากนัก ความฟุ้งเฟ้อที่เกิดขึ้นในกรณี ๒+๖ ดังที่ว่ามา คงไม่ได้เกิดขึ้นกับความรักแน่นอน เพราะมันมีดาวคู่ ๕+๖ ควบคุมอยู่นี่ครับ

สมมติเรานั่งไล่นักษัตรไปจนกระทั่งเขาอายุ ๔๒ จะได้นักษัตรขาล(เลข๓) แต่ชะตาจรตกดาว ๒ ทาสีเหมือนเดิม จากที่เคยฟุ้งเฟ้อ ในช่วง ๒๑ จะเปลี่ยนไป เพราะปีนั้น เราได้ดาวพื้นชะตาจรเป็น ๒+๖

แต่ปีที่มีอายุ ๔๒ ได้ ๒+๓ กลายเป็นดาวคู่ระแวง รอบคอบ ไปเสียนี่ เห็นไหมครับ ต่างกันลิบลับเลย

เอาไปกระทบกับเรือนต่าง ๆ บ้าง สมมติปัตนิเรือนเดิมนั่นแหละ ดาวเจ้าเรือนปัตนิเขาเป็นดาว ๕ เราจะได้ ชะตาจรกระทบปัตนิ ๒+๕ (อันนี้เหมือนช่วงอายุ ๒๑ ) แต่เราจะได้นักษัตรกระทบเป็น ๓+๕ ได้ดาวคู่สมพล คู่ถึงเวลา นั่นคือ มัวเงื้อง่าราคาแพงอะไรอยู่ คงได้เวลากระทำการนั้น ๆ เสียที

ลองพิจารณาดูนะครับ สมมติว่า มีแฟนช่วงอายุ ๒๑ แล้วอาจจะมีเหตุเลิกรากันไป มาพบกับรายใหม่ช่วง ๔๒ จะเห็นว่า ๒+๕ ช่วงอายุ ๔๒ ได้นักษัตรควบคุมที่ดีกว่า โอกาสจะส่งผลดีในเชิงความรักมีมากกว่านะครับ

ถ้าถามว่า อายุปีไหนน่ากลัว หากว่า อายุปีไหน ชะตาจร+นักษัตรในปีนั้น ๆ เจอดาวคู่ศัตรู หรือเป็นดาวกระทบที่ร้ายแรงล่ะก็ เตรียมตัวสะเดาะเคราะห์กันได้เลย

แต่บางที แม้ว่า ดาวกระทบจะไม่แรงเท่าไหร่ แต่ก็อาจจะส่งผลที่ร้ายแรงได้เหมือนกันนะครับหากเลขของนักษัตรมาจากเรือนที่เสีย และเผอิญปีนั้น ชะตาจรเราก็ตกเรือนเสียด้วย

อย่างในกรณีดวงตัวอย่าง หากชะตาจรตก เรือน หินะ เลข ๑ แต่ปีนั้น ๆ เผอิญนักษัตรได้ปีเถาะ หรือ จอ ซึ่งก็คือเลข ๔ มองดูแล้ว เลข ๔ คือดาวจากเรือนอริ แสดงว่า ปีนั้น ก็ส่งผลกระทบร้ายแรงกับเจ้าชะตาเหมือนกัน เพราะ มองในแง่เรือน หินะ + อริ ไม่มีทางดีไปได้ใช่ไหมครับ

เราอ่านต่อได้อีกว่า ดาวคู่ ๑+๔ คือดาวคู่สัญญา ตามวิธีการอ่านแบบดาวกระทบ เราก็ต้องระวังเรื่องการทำเอกสารสัญญา การรับปากใครต่อใครเขาเอาไว้ เพราะท้ายสุด จะส่งผลกระทบร้ายแรงแน่นอนครับ

ต้องสะเดาะห์เคราะห์กันตามระเบียบ

วิธี ดูจรรายเดือนและวัน อย่างง่าย

เลข 7 ตัว สามารถดูจรได้ถึงระดับเดือน วัน และยามครับ แต่ถ้าเป็นระดับยาม คงต้องเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น

ในที่นี้ เอาอย่างง่ายก่อนนะครับ จะได้ดูกันสบาย ๆ หน่อย

เอาดวงด้านบนนะครับ สมมติว่า อายุ 25 ปี อายุตกที่ ปิตา เลข 3 ถ้าเขาถามเรื่องงาน ก็บอกว่า งานปีนั้นน่าจะดี เพราะงาน(กัมมะ ) เป็นดาว 5 ซึ่งเป็นคู่สมพลกับ 3 คู่สมพลของเลข 7 ตัวนี่ มักจะให้คุณมากกว่าคู่สมพลของโหราศาสตร์เขานะครับ ถ้าสมมติว่าปีนั้น ได้ปี มะเส็ง ยิ่งสวย เพราะมะเส็ง เลข 6 เขาเป็นคู่มิตรกับ 3 พอดี

แต่มันให้คุณทั้งปีที่ไหนล่ะ ก็ต้องมีช่วงแย่ ๆ บ้างแหละ ถามว่าแย่ช่วงไหน ก็ช่วงที่ เดือนตกเลข แย่ ๆ น่ะสิ

ในกรณีนี้ น่าจะเป็นเดือน 7 นะครับ เพราะ เลข 7 เป็นเลขที่แย่มาก ๆ กระทบใครเขาก็แย่ไปหมด มีแต่ กระทบ 4 กับ 1 เท่านั้น ที่พอจะลงตัวกะเขาได้บ้าง

ในที่นี้ อายุจรก็ตก 3 เดือน 7 ก็รับประกันความแย่ครับ ยิ่งดวงนี้ 7 ตกพยายะด้วย ยิ่งไปกันใหญ่ แถมปีนั้นปีมะเส็งด้วย ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ เพราะ 6 กับ 7 เขาคู่ศัตรู อยู่แล้ว

ดังนั้น สูตรของการจรรายเดือนที่ง่ายมาก คือ จับเลขเดือนกระทบ อายุจร เลยครับ แล้วเทียบกับเรื่องต่าง ๆ อีกที

บางครั้ง ดาวเสีย เรือนดี ก็พอไหว บางครั้ง ดาวเสีย เรือนเสีย แต่อายุจรเป็นดาวคู่มิตร คู่สมพล คู่ธาตุ ก็ผ่อนหนักเป็นเบาได้ ไม่ร้ายแรงนัก แต่หากเป็นคู่ศัตรู ตัวใครตัวมันนะครับ เรียกว่า แย่มันซะทุกเด้ง

วิธีการนี้ ใช้กับการดูรายวันได้ด้วยนะครับ ทำให้เราสามารถ ใช้เลข 7 ตัว “วางฤกษ์”ได้คร่าว ๆ ในการทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้ประสบผลสำเร็จ แต่แค่คร่าว ๆ นะครับ อย่าใช้เป็นจริงเป็นจังนัก

เพราะการวางฤกษ์ ต้องใช้องค์ประกอบเยอะกว่านี้ครับ

จัดการชีวิตให้เป็นมงคลด้วยดวงชะตา

เมื่อเราตั้งดวง ทำนายดวงได้ เราก็จะมีวิธีการจัดชีวิตของเราให้ดีได้ครับ

ปรกติ การจัดการชีวิตให้เป็นมงคลนั้น โหรนิยมใช้หลักของทักษามาส่งเสริม ซึ่งถ้าใครศึกษาไว้ก็นำมาใช้ได้ เพียงแต่หลายคนอาจจะยังไม่เคยใช้ดวงชะตาในการจัดการส่งเสริมความเป็นมงคลให้ชีวิตมาก่อน ลองมาดูนะครับ ว่าเขาทำกันอย่างไร

ลองดูดวงเมื่อสักครู่นี้อีกทีนะครับ

๗ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖

๖ ๗ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕

๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๑ ๒

๑๖ ๑๒ ๘ ๑๑ ๑๔ ๑๐ ๑๓



ดวงนี้ หากเราจะจัดการชีวิตให้เป็นมงคล เราก็ดูจากดาวในชะตา และเราก็ใช้ดาวที่เป็นคุณกับเรา เช่น ไม่อยู่ในเรือนเสีย ได้ฐานผลบวกที่ดี นำมาใช้ประโยชน์

ง่าย ๆ อย่างเลขนำโชคนะครับ ดวงนี้ จะเห็นว่า เลข ๒ ในชะตาค่อนข้างดี เพราะอยู่ในเรือนที่ดีพอสมควร เช่น ธนัง พันธุ ทาสี ผลบวก ๑๓ มหาอุจจ์ หากจะใช้รถรา มีเลข ๒ อยู่ในทะเบียน ก็น่าจะดีกว่าเลข ๗ เพราะเลข ๗ ในชะตานี้ ตกพยายะ

เลขที่ไม่ปรากฏในสามแถวหลัก คือ เลข ๘ ๙ ๐ ถามว่าใช้ดีมั้ย ๘ เราเห็นอยู่ในฐานผลบวก กระทบกับ ๕ ซึ่ง ๕ ก็ไม่ได้อยู่ในเรือนที่เสีย แปลว่าใช้ได้

๙ ไม่ปรากฏ เราก็ไม่ถือว่าดีหรือเสีย เพราะไม่ได้ปรากฏในดวงนี่ครับ

๐ ปรากฏอยู่ในผลบวก ๑๐ กระทบกับ เลข ๑ และเลข ๑ ตก หินะ ดวงนี้ หากใช้เลข ๐ มานำโชค คงไม่ดีสักเท่าไหร่

สมมติจะเลือกสีเสื้อ เลือกเครื่องประดับมาใช้ เราก็ดูจากดาวในชะตาได้

แต่ก่อนอื่น ต้องรุ้ก่อนว่า ดาวแต่ละดวง มีสีอะไรเป็นตัวแทนบ้าง

อาทิตย์ สีแดง

จันทร์ สีขาว สีนวล อมเหลือง

อังคาร แดงเลือด ชมพู

พุธ เขียว

พฤหัส แสด เหลือง

ศุกร์ ฟ้า น้ำเงิน

เสาร์ ม่วง ดำ

ราหู ม่วง ดำ(เหมือนเสาร์)

เกตุ สีทอง สีมีลวดลาย

ในดวงชะตานี้ ใช้สีเสื้อ หรือเครื่องประดับ เมื่อดูจากดวงแล้ว สีเขียว ไม่ควรใช้ เพราะพุธตกเรือนอริ เสาร์สีดำ สีม่วง ตกเรือนพยายะ ก็ไม่ควรใช้

สีชมพู พอใช้ได้ เพราะทางเลข ๗ ตัว บางครั้ง ไม่ถือว่ามรณะเป็นเรือนเสีย ดาวอังคารในชะตาแม้ตกมรณะ ถ้าใช้สีชมพู อาจจะชอบการเปลี่ยนแปลงมีแรงปราถนาในชีวิตมากขึ้นก็ได้ เพราะมรณะไม่ได้แปลว่าตายเสมอไป

เว้นแต่ หากคนป่วยหนัก หรือคนแก่ สูงอายุ อาจจะต้องงดเว้นการใช้สีจากดาวเรือนมรณะ เพราะในกรณีนั้น มรณะอาจจะหมายถึงตายไปจริง ๆ ก็ได้

เครื่องประดับก็เช่นกัน ดวงนี้ เครื่องประดับสีแดง อย่างทับทิม ไม่ควรใช้ เพราะอาทิตย์ตกเสีย คือ หินะ ใช้สีอื่น ๆ อย่างสีน้ำเงิน สีฟ้า แบบไพลิน จะดี เพราะดาวศุกร์ได้ตำแหน่งที่ดี และฐานผลบวกได้ฐานบารมี ๑๑

ตรงนี้ คือ การจัดการชีวิตให้เป็นมงคล โดยอ่านจากดวงชะตานะครับ แต่นี่คือพื้นดวงเท่านั้น

ถ้าเป็นชะตาจรรายปี เราอาศัยเพียงแค่ “อายุจร”รายปี และนักษัตร ก็พอจะปรับแก้กันได้ อย่างปีไหนชะตาอายุจรตก เลข ๓ ควรหลีกเลี่ยงเครื่องประดับสีดำ เช่นนิล ซึ่งเป็นสีของดาวเสาร์ ในดวงชะตา ดาวเสาร์ตกเสียด้วย ยิ่งไปกันใหญ่ เหตุที่ไม่ให้ใช้ เพราะดาวกระทบ ๓+๗ ส่งผลค่อนข้างร้ายแรงอยู่เหมือนกัน

ในกรณีนี้ สีแดง ซึ่งเป็นสีของอาทิตย์ ก็ไม่ควรใช้ เพราะ ผลกระทบดาว ๓+๑ ก็ร้ายไม่แพ้ ๓+๗ เช่นกัน

ปีที่อายุจรตกเลข ๓ ใช้เครื่องประดับ และสีฟ้าจะให้คุณเป็นพิเศษ เพราะเป็นสีของดาวศุกร์คู่มิตรกัน และในชะตา ดาวศุกร์ไม่เสียด้วยครับ

ไหว้พระ หรือ ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เราก็ใช้ดาวในดวงชะตา เป็นแนวทางได้ แต่อาจจะต้องศึกษาเพิ่มเติมว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราเคารพนับถือนั้น ให้คุณเรื่องใดเป็นพิเศษ เช่น ปีไหนที่ดวงจรตกดาวอังคาร นักษัตรปีนั้นเป็นดาวอาทิตย์ เห็นดาวคู่ ๑+๓ อาจจะมีเลือดตกยางออก ก็ควรไปบูชาหลวงปู่ทวด เพื่อให้ท่านอำนวยพรเรื่องแคล้วคลาดในปีนั้น ๆ เหตุที่ต้องบูชาท่าน เพราะหลวงปู่ทวดท่านให้คุณด้านแคล้วคลาด ปลอดภัยอยู่แล้ว ปีไหนชะตาจรตกดาวศุกร์ นักษัตรเป็นขาล คู่ดาว ๓+๖ จะให้คุณด้านความรัก เราก็ไปขอพรจากเจ้าแม่เขาสามมุก ให้สมหวังในเรื่องดังกล่าว หรือขอพรจากเจ้าแม่กวนอิม ให้ท่านประทานความสุขสมหวังในชีวิตครอบครัวให้

จะเห็นว่า ดวงชะตาเรานั้น หากอ่านเป็น ก็สามารถใช้ในการส่งเสริม หรือผ่อนหนักเป็นเบา หาความเป็นมงคลให้แก่ชีวิตได้เป็นอย่างดีเช่นกันครับ

บทสรุป ของวิชาเลข ๗ ตัว

วิชาการพยากรณ์ด้วยเลข ๗ ตัวตามที่ผมเขียนมาทั้งหมดนั้น ต้องขอเรียนว่า เป็นเพียงการตรวจดวงชะตาเพียงแค่พื้นฐาน เพราะในความเป็นจริง ยังมีไม้เด็ดเคล็ดลับสำหรับการพยากรณ์แฝงอีกเยอะ เช่น วิธีแยกดวงชะตา วิธีทำนายที่ลึกซึ้ง ทั้งทำนายพื้นดวง และทำนายจร วิธีใช้ดวงเลข ๗ ตัวผูกดวงชัยภูมิเพื่อแก้ฮวงจุ้ยแบบไทย ๆ แต่โควต้าที่เขียนนั้นมีจำกัด เลยต้องนำมารายงานตามแต่โอกาสจะอำนวย ซึ่งเท่าที่ผมได้เขียนมาทั้งหมด เชื่อว่า สามารถตรวจดวงชะตาด้วยตนเอง ทั้งพื้นดวง และทายจรได้เป็นอย่างดีในระดับหนึ่ง

ผมเชื่อว่า ละเอียดพอจะทำให้ท่านผู้อ่านสามารถทำนายได้ชนิดไม่อายใครเชียวล่ะ

แต่ว่า ทั้งหมดนี้ เพียงแค่เป็นการ “ทำนาย” แต่วัตถุประสงค์ที่แท้จริง คือ การปรับใช้ดวงชะตาให้เป็นประโยชน์ต่อชีวิตมากกว่า

ตัวเรามีชะตาเป็นอย่างไร และจะต้องปรับปรุงตัวอย่างไร ชะตาจรช่วงนี้ ดีร้าย จะหลบเลี่ยงกันอย่างไร เป็นสิ่งที่เราต้องคำนึงถึงมากกว่าการทำนายทายทัก

บางครั้ง ดวงชะตา สามารถปรับแก้ได้ ตามวิธีการธรรมดา ๆ นี่แหละ แต่บางครั้ง ก็ปรับแก้ไม่ได้ ขึ้นกับเรามีสติ และมีความไม่ประมาทต่อชีวิตแค่ไหน และความหนักเบาของชะตานั้น มากน้อยประการใด

บ่อยครั้งที่จังหวะดวงชะตาดีเหลือเกิน แต่เราก็ไม่ได้คว้าโอกาสนั้นไว้ ทำให้เสียดวงชะตาไป บางครั้ง ดวงชะตาตก แต่ไม่ได้ทำอะไรเลย ปล่อยให้ชีวิตอยู่บนกองทุกข์ ก็ไม่มีประโยชน์

ชะตายิ่งตก ยิ่งต้องสร้างกุศล ทำใจให้สบาย ชะตาก็จะบรรเทาเบาบางจากกองทุกข์ไปได้

อย่ายอมให้ชะตาบงการโดยที่เราไม่ทำอะไร เพราะขัดกับหลักการของพระพุทธศาสนา เรารู้ชะตา แต่อย่าให้ชะตาบงการเรานะครับ

ไม่เช่นนั้น ต่อให้รู้ดวง ทำนายเก่งกาจอย่างไร ก็ไม่มีประโยชน์

การรู้ดวง รู้ชะตา ก็จะเป็นแค่นิทานชีวิตที่ฟังไปแล้ว ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา นอกจากจะรู้ไปแค่นั้น

ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาทของชีวิตเถิด

ที่มาจาก http://www.guyyasit.com/phpbb/viewtopic.php?f=22&t=48&view=next

7 ความคิดเห็น:

  1. สวัสดีคะ ช่วยดูดวงชะตาให้ทีได้ไหมคะ วัน เดือน ปี เป็นตอง7หมด อยากทราบความหมายคะ เคยไปดูมากี่ที่ๆเขาบอกไม่ดี(จริงหรือคะ รู้สึกไม่สบายใจเลย)
    เกิดวันเสาร์ 9 มิ.ย 2533 ปีมะเมีย เวลาเกิดประมาณ11โมงคะ ขอบคุณคะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. เท่าที่ผมเรียนโหรมานะคับภพอยู่เรือนอะไรทายแบบนั้นคับดีร้ายก็อยู่ที่ดวงชะตาเกิด
      ทำบุญบุตรบริวารคู่ครองบุตรเข้าวัดทำบุญอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรบ่อยๆจะดีคับ

      ลบ
  2. รบกวนดูไห้รบกวนดูไห้หน่อยครับ จะขอบพระคุณเป่นอย่างสูง เลยครับ เกิดวันจันทร์ ที่16 ตุลาคม 2532 เบอร์โทรติดต่อ 0649623883 ชวยโทรกลับด้วยน้ะครับ ขอบคุณครับ

    ตอบลบ
  3. สวัสดีครับ อาจารย์ ผมอยากทราบว่า อัตตะ+ตนุ+มรณะ หมายความว่ายังไงครับ อัตตะ+ตนุ+ศุภะ หมายความว่ายังไงครับ
    อัตตะ+ตนุ+กรรมะ หมายความว่ายังไงครับ
    อัตตะ+ตนุ+ลาภะ หมายความว่ายังไงครับ
    21ตัวนี้ ตกตัวไหนเป็นยังไง บ้างอย่างนี้ อะ ครับพอจะทีแนะนำบ้างไหมครับอาจารย์ ขอบคุณครับ

    ตอบลบ
  4. ถือได้ว่าระดับเซียน

    ตอบลบ
  5. เซียนแท้ ฝากตัวด้วยคนครับ

    ตอบลบ