“ขออย่าให้เป็นคนชิดของเจ้าคุณผู้ใหญ่ ขออย่าให้เป็นคนใช้ของเจ้าพระยานคร
ขออย่าให้เป็นคนต้มน้ำร้อนของพระยาศรี ขออย่าให้เป็นมโหรีของพระยาโคราช
ขออย่าให้เป็นสวาดิของพระองค์ชุมสาย ขออย่าให้เป็นฝีพายของเจ้าฟ้าอาภรณ์
ขออย่าให้เป็นละครของของแม่น้อยบ้า ขออย่าให้รู้ชาตาเหมือนอาจารย์เซ่ง
ขออย่าให้เป็นนักเลงอย่างท่านผู้หญิงสมฟัก ขออย่าให้เป็นสมปักของพระนายไวย
ขออย่าให้เป็นดอกไม้ของเจ้าคุณวัง ขออย่าให้เป็นระฆังวัดบวรนิเวศ”
ข้อความทั้ง ๑๒ ข้อนี้ เป็นข้อขอดควรคิดของคุณพุ่ม จิตกวีหญิงที่เรืองนามในยุครัตนโกสินทร์ เนื่องด้วยในรัชกาลที่ ๓ เป็นสมัยที่วิชาการกวีกำลังเฟื่องฟุ้งอย่างถึงขีดสุด นิยามการเล่นเพลงยาว ดอกสร้อยและสักวากันแพร่หลาย ผู้ที่มีคารมคมคายในเชิงบทกลอนฝ่ายหญิง ในยุคนั้นเห็นจะหาเปรียบคุณพุ่มได้ยาก คุณพุ่มอยู่แพที่หน้าบ้านของบิดาท่านตอนเหนือท่าพระ ปรากฏว่ามักมีเจ้านาย คือพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อดำรงพระยศเป็นสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ และข้าราชการที่สูงศักดิ์ เช่นสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เมื่อยังเป็นที่หลวงนายสิทธิ์ แล้วเลื่อนเป็นพระนายไวย ได้ไปติดพันเล่นสักวากับคุณพุ่มที่แพมิได้ขาด คุณพุ่มผู้นี้มีฉายาที่เรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่า “บุษบาท่าเรือจ้าง” เพราะเหตุนี้จอดแพอยู่ใกล้กับท่าเรือจ้างที่ท่าพระ ข้อความที่คุณพุ่มได้กล่าวขึ้นทั้ง ๑๒ ข้อนี้ เรียกกันทั่ว ๆ ไป ในหมู่นักกวีนิพนธ์ยุคปัจจุบันนี้ว่า “คำอธิษฐานของคุณพุ่ม” ซึ่งล้วนแต่ได้แต่งขึ้นเยาะเล่น โดยอำเภอคะนองปาก เห็นจะสำหรับว่าให้ผู้ที่ชอบพอฟังกันเล่น จึงได้รู้กันอย่างแพร่หลาย และยังเป็นบทที่ท่องบ่นกันสืบมาจนถึงทุกวันนี้
เผอิญข้อความในตอนหนึ่งทั้ง ๑๒ ข้อนี้ ได้พาดพิงมาถึงบุคคลที่สำคัญ ซึ่งเป็นนักพยากรณ์ในยุคนั้น คือ “อาจารย์เซ่ง” ตามที่กล่าวในข้อ ๘ ว่า “ขออย่าให้รู้ชาตาเหมือนอาจารย์เซ่ง” การที่คุณพุ่มได้กล่าวข้อความตอนนี้ขึ้นไว้ ก็เนื่องจากมีมูลเหตุมาว่า ในยุคนั้นอาจารเซ่งนี้ ได้ตั้งตนเป็นหมอดูเมื่อมีผู้ไปให้ทำนายทายทัก อาจารเซ่งก็ทำนายชาตาไปในทางที่ดีทั้งนั้น คือถ้าเป็นเจ้าก็ทำนายว่าดวงชาตาคู่ควรแก่เศวตฉัตร จะได้ครองราชย์บัลลังก์ ไม่ว่าจะเป็นเจ้านายพระองค์ใดก็ตาม ตะแกเป็นพยากรณ์ทำนองเดียวกันทั้งสิ้น และถ้าเป็นขุนนางก็ทำนายว่าจะได้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ ถึงที่เสนาบดีจตุสดมภ์ หากเป็นคนทำมาหากันโดยธรรมดาก็ทำนายว่าจะได้เป็นเศรษฐี ปรากฏว่ามีผู้คนแตกตื่นกันไปให้ทำนายชาตากันเป็นจำนวนมาก อะไรก็ไม่ร้ายเท่าชาตาของผู้ที่แกทำนายว่าจะได้เป็นกษัตริย์ ต่างก็พากันเหิมเห่อทะเยอทะยานกันเป็นการใหญ่ จนข่าวเรื่องทำนองนี้ ล่วงรู้ไปถึงพระกรรณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบ่อยครั้งเข้า ถึงกับต้องมีพระดำรัสสั่งให้มีการจับกุมสอบสวนอาจารย์เซ่ง ผลสุดท้ายปรากฏว่า อาจารย์เซ่งต้องถูกลงพระราชอาญา ในฐานเป็นตัวบ่อนทำลายเสถียรภาพของพระราชบัลลังก์ โดยมีมูลเหตุมาจากการทำนายทายทัก อันปราศจากมูลความจริงเป็นต้นเหตุ
เรื่องของอาจารย์เซ่งตามที่ยกมาเป็นอุธาหรณ์นี้ นับได้ว่าเป็นจุดราคีจุดหนึ่งของวิชชาโหราศาสตร์ ซึ่งถ้าหากว่าท่านผู้ได้ยินได้ฟังเรื่องอนี้เข้า อาจจะทึกทักเอาว่าวิชชาโหราศาสตร์เป็นสิ่งที่เหลวไหลหาสาระมิได้ เพราะเนื่องจากท่านผู้ได้ยินได้ฟังนั้นยังไม่ซาบซึ้งถึงวิชชานี้โดยแท้จริง แต่ด้วยเหตุผลแล้ววิชชาโหราศาสตร์ เป็นวิชชาที่เต็มไปด้วยหลักการณ์เหตุผล อันควรแก่การศึกษาเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็เป็นศาสตร์ที่ต้องอาศัยการค้นคว้า เพราะอุดมด้วยหลักเกณฑ์มากมาย ต้องใช้เวลาเนิ่นนานสักหน่อย จึงจะมีความรู้แตกฉาน ผู้ที่สามารถเล่าเรียนจนบังเกิดความรู้ความชำนาญในวิชชาโหราศาสตร์ จึงได้รับขนานสมญานามว่า “โหร” มิใช่สักแต่พอมีพื้นความรู้บ้างก็จะพยายามสถาปนาตนขึ้นเป็นโหร จำพวกนี้อยู่ในขั้นเป็นแต่เพียง “หมอดู” เท่านั้น อย่างอาจารย์เซ่งผู้นี้ ก็จัดว่าอยู่ในจำพวกหมอดู และเป็นหมอดูชนิดเลวที่ดูไม่เป็นและดูไม่แม่นเสียด้วย จึงจำเป็นต้องอาศัยเล่ห์กระเท่ห์ โดยเป็นหมอเดาใช้เดาสุ่มไปพลางก่อน แต่ถ้าหากแกเป็นโหรที่แท้จริงแล้ว แกก็คงใช้วิชชาการของแกพยากรณ์ได้ ถึงแม้จะถูกเป้าหมายไม่ครบถ้วน แต่ก็คงจะไม่ถึงกับเป็นหมอเดา เดาจนถูกลงพระราชอาญาเป็นแน่
ที่มาจาก หนังสือ โหราศาสตร์ปริทรรศน์ ภาค ๑ ฉบับมาตรฐาน ของอาจารย์เทพย์ สาริกบุตร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น