วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553

พื้นฐานของโหราศาสตร์ที่ควรรู้...

เรื่องของวัน

การเปลี่ยนวันใหม่ การนับวัน

        การเปลี่ยนวันใหม่ ตามหลักโหราศาสตร์ไทย ยึดถือตามดวงอาทิตย์ขึ้นเป็นหลัก ครั้งโบราณ ไม่มีนาฬิกา แต่จะถือเอาเวลาพระออกบิณฑบาตร คือเมื่อมองเห็นลายมือบนฝ่ามือชัดเจน(ไม่ใช้แสงไฟช่วย)ด้วยตาเปล่าให้นับเป็นวันใหม่ ต่อมาเพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นฤดูกาลใด การเปลี่ยนวันใหม่ให้เริ่มที่ ๐๖.๐๐ น. และคำว่า "กลางวัน" ให้เริ่มตั้งแต่ ๐๖.๐๐ น.-๑๗.๕๙ น. (ก่อน ๖ โมงเย็น) ส่วนคำว่า "กลางคืน" ให้เริ่มตั้งแต่ ๑๘.๐๐ น.-๐๕.๕๙ น. (ก่อน ๖ โมงเช้า)

          ดังนั้นในรอบหนึ่งวันของโหราศาสตร์ไทย (๒๔ ชม.) จะเริ่มตั้งแต่ ๐๖.๐๐ น.-๐๕.๕๙ น. จะมีวันยกเว้นคือวันพุธ ถ้าท่านที่เกิดช่วงเวลา ๐๖.๐๐ น.-๑๗.๕๙ น. ถือว่าเป็นวันพุธกลางวัน ใช้เลข ๔ แทน แต่ถ้าท่านเกิดวันพุธช่วงเวลา ๑๘.๐๐น.-๐๕.๕๙ น. ถือว่าเป็นวันพุธกลางคืนหรือวัน "ราหู" ใช้เลข ๘ แทน

        เกิดวันอาทิตย์ก็จะเริ่มนับเวลาเกิดจาก ๐๖.๐๐น. ของเช้าวันอาทิตย์ไปจนถึง ๐๕.๕๙ น.ของวันจันทร์ ก็ยังคงนับเป็นวันอาทิตย์อยู่ เมื่อถึง ๐๖.๐๐น. ของเช้าวันจันทร์เมื่อใดจึงถือเป็นวันจันทร์

       เช่น ตามสูติบัตร บอกว่าท่านเกิดอาทิตย์เวลา ๐๔.๑๓น. แต่เมือจะคำนวณตามหลักโหราศาสตร์จะถือว่าเป็นวันเสาร์อยู่ เพราะยังไม่ถึง ๐๖.๐๐น. ซึ่งเป็นช่วงย่างเข้าวันอาทิตย์จริงๆ ,ตามสูติบัตร บอกว่าท่านเกิดพฤหัสบดีเวลา ๐๕.๑๓น. แต่เมือจะคำนวณตามหลักโหราศาสตร์จะถือว่าเป็นวันพุธอยู่ เพราะยังไม่ถึง ๐๖.๐๐น. และวันเวลาถือเป็นวันพุธกลางคืนหรือวัน "ราหู" ด้วย

       สำหรับการคำนวณอีกแบบที่มีการตัดเวลาท้องถิ่นก็จะกระทบในลักษณะเดียวกัน เช่น ตามสูติบัตร บอกว่าเกิดอังคารเวลา ๐๖.๐๓น. จริงๆต้องเป็นวันอังคารแล้ว แต่การคำนวณตามหลักโหราศาสตร์ บางแบบ(ขึ้นอยู่กับตำราและผู้พยากรณ์) จะกำหนดให้มีการตัดเวลาท้องถิ่นออก คือลบด้วย ๑๘ นาที เป็นช่วงเวลาจริงที่ต่างกันกระหว่าง จังหวัดกรุงเทพฯ และจังหวัดอุบลราชธานีซึ่งใช้อ้างอิงเวลา เมื่อคำนวณแล้ว เวลาเกิดจริง คือ ๐๕.๔๕น.(๐๖.๐๓น. ลบออก ๑๘ นาที ) ก็จะถือว่าเป็นวันจันทร์เพราะยังไม่ถึง ๐๖.๐๐น. ซึ่งเป็นเวลาเปลี่ยนวันใหม่

ที่มาจาก http://www.myhora.com/astrology_contents.aspx?xid=4

เรื่องของเดือน

         อาจจะมีหลายท่านที่อาจจะยังไม่รู้ว่าทำไมเดือนไทยของเรา ต้องลงท้ายด้วยคำว่า "คม" หรือ "ยน" มาอ่านด้วยกันเลย....

คำว่า " คม " มาจากคำว่า "อาคม"  ส่วนคำว่า " ยน " มาจากคำว่า "อายน"

ซึ่งทั้งสองคำนี้แปลว่า " การมาถึง "

ดังนั้น เดือนเมษายน มาจากคำว่า เมษ + อายน จึงแปลว่า การมาถึง ราศีเมษ

เดือน พฤษภาคม มาจากคำว่า พฤษภ + อาคม จึงแปลว่า การมาถึงราศีพฤษภ

(การมาถึงในที่นี้หมายถึงการมาถึงของดวงอาทิตย์)

นอกจากนี้แล้วยังมีชื่อดาวประจำเดือนต่าง ๆ ด้วยดังนี้

     ชื่อดาว                          ชื่อ                          เดือนไทย

1. จิตร                           จิตรมาศ                 เดือน 5 เมษายน

2. วิสาข                        วิสาขมาส               เดือน 6 พฤษภาคม

3. เชฏฐ                         เชษฐมาส               เดือน 7 มิถุนายน

4. อาสาธ                       อาสาธมาส            เดือน 8 กรกฎาคม

5. สาวนะ                       สาวนมาส               เดือน 9 สิงหาคม

6. ภัทรปท                     ภัทรปทมาส            เดือน 10 กันยายน

7. อาสยุช                      อาสยุชมาส            เดือน 11 ตุลาคม

8. กัตติกา                      กัตติกมาส               เดือน 12 พฤศจิกายน

9. มิคสิร                        มิคสิรมาส               เดือน 1 (อ้าย) ธันวาคม

10.ปุสย                          ปุสยมาส                เดือน 2 (ยี่) มกราคม

11.มาฆ                          มาฆมาส                เดือน 3 กุมภาพันธ์

12.ผัดคุณี                       ผัดคุณมาส             เดือน 4 มีนาคม

ที่มาจาก http://gotoknow.org/blog/dimples/90019

เรื่องของปีนักษัตร

ปีนักษัตรของไทย

ลำดับ     ปี                  สัตว์


1.           ชวด              หนู

2.            ฉลู                วัว

3.            ขาล              เสือ

4.            เถาะ              กระต่าย

5.            มะโรง            งูใหญ่

6.            มะเส็ง            งูเล็ก

7.            มะเมีย            ม้า

8.            มะแม             แพะ

9.             วอก                ลิง

10.           ระกา               ไก่

11.            จอ                  สุนัข (หมา)

12.            กุน                  สุกร (หมู)

สำหรับการเปลี่ยนปีนักษัตร

      เช่นเปลี่ยนจากปีชวด เป็นปีฉลู ซึ่งปรกติจะใช้ปีสากลในการเปลี่ยนปีคือเปลี่ยนปีนักษัตรใหม่เมื่อเริ่ม วันที่ ๑ มกราคม เป็นต้นไป แต่การคำนวณทางโหราศาสตร์ไทย หรือการคำนวนของไทย จะอ้างอิงตามคติพราหมณ์ และปฏิทินไทยแบบเดิม คือจะเปลี่ยนปีนักษัตรใหม่โดยเริ่มตั้งแต่ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ ถือว่าเปลี่ยนเป็นปีนักษัตรใหม่แล้ว ซึ่ง วันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ จะอยู่ช่วงเดือนมีนาคม หรือเมษายน

       ในอดีตวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ เคยถือเป็นวันปีใหม่ของไทยตามคติพราหมณ์ ในช่วงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว วันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ ปี พ.ศ.๒๔๓๒ ตรงกับวันที่ ๑ เมษายน จึงให้ถือเอาวันที่ ๑ เมษายนเป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทยนับแต่นั้นมา เพื่อให้วันปีใหม่จะได้ตรงกันทุกปีเมื่อนับทางสุริยคติ (แม้ว่าวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ ปีต่อๆ มาจะไม่ตรงกับวันที่ ๑ เมษายน) และในปี พ.ศ.๒๔๘๔ ได้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่ตามสากลคือ ๑ มกราคม ,วันขึ้นปีใหม่ไทย เป็นวันที่ ๑๓ เมษายน ส่วนการเปลี่ยนปีนักษัตรใหม่ ตามปฏิทินไทยเริ่มตั้งแต่ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ เหมือนเดิม

          การเปลี่ยนปีนักษัตรแบบไทย ยังมีเปลี่ยนในวันอื่นๆ เช่น เปลี่ยนปีนักษัตรในวันที่ ๑ มกราคม (ตามปฎิทินของ อ.ทองเจือ อ่างแก้ว) , เปลี่ยนปีนักษัตรในวันที่ ๑ เมษายน (ตามปฎิทินของ อ.เทพย์ สาริกบุตร) และ เปลี่ยนปีนักษัตรในวันสังขารล่อง หรือวันสงกรานต์ ตามแบบทางภาคเหนือ ทั้งนี้จะใช้เปลี่ยนปีนักษัตรแบบใด ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้ทำการใด ครูอาจารย์ท่านใช้ปฏิทิน หรือเลือกแบบใดเป็นหลัก เช่นจะพยากรณ์ทางโหราศาสตร์มักใช้ ปีนักษัตรตามปฏิทินจันทรคติไทย ซึ่งเปลี่ยนปีนักษัตรในวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือนห้า (๕) ตามคติพราหมณ์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนปีนักษัตรแบบจีน ซึ่งเปลี่ยนปีนักษัตรในวันสารทลิบชุน ประมาณก่อนตรุษจีน ต้นเดือนกุมภาพันธ์

ที่มาจาก http://www.myhora.com/astrology_contents.aspx?xid=4

รู้จักกับเวลาเกิด เวลาตกฟาก ลัคนา และวิธีคำนวณที่ใช้กันมากที่สุดตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน

          ลัคนา หรือ ลัคน์ หรือ ลั หรือ Ê(ASCENDANT or AS) นั้นหมายถึง จุดตำแหน่งเริ่มต้นหรือเรือนภพแรกที่ใช้ในการพยากรณ์ดวงชะตาทั้ง 12 เรือน เป็นจุดแสดงตัวตนของเจ้าชะตา (PHYSICAL APPEARANCE) และถือว่าเป็นจุดกำเนิดแรกของของเจ้าชะตาในจักรราศี


          ลัคนานั้นสามารถคำนวณได้จากมุมของพระอาทิตย์ที่ส่องแสงลงมายังโลก และในหนึ่งวันนั้นโลกจะหมุนรอบตัวเอง 1 รอบ คือหมุนรอบตัวเองจนมองเห็นได้ทั้ง 12 ราศีนั่นเอง ดังนั้นทุกๆ 2 ชั่วโมง โลกเราก็จะหมุนโคจรไปประมาณ 1 ราศี

         พระอาทิตย์นั้นถือว่าเป็นดาวฤกษ์ที่อยู่นิ่ง ส่วนโลกของเรานั้นก็เป็นดาวเคราะห์บริวารที่ต้องโคจรไปรอบดวงอาทิตย์เป็นวงกลม ดังนั้นเมื่อโลกเราโคจรไปรอบพระอาทิตย์ 1 รอบก็จะเท่ากับระยะเวลา 1 ปีหรือ 12 ราศีพอดี

         ในมุมของวิชาโหราศาสตร์แล้ว เมื่อคนเรานั้นอาศัยอยู่บนโลก ก็ต้องใช้โลกเป็นประธานหรือจุดเฝ้าสังเกต ซึ่งจะเปรียบเสมือนว่าโลกหยุดนิ่งอยู่กับที ส่วนดาวอื่นๆ นั้นจะโคจรไปรอบโลกนั่นเอง ฉะนั้นจึงเห็นได้ในวิชาโหราศาสตร์ว่า พระอาทิตย์นั้นจะโคจรอยู่ในราศีๆ ละ 1 เดือนนั่นเอง

          เมื่อทราบแล้วว่าพระอาทิตย์ในเวลานั้นสถิตอยู่ที่ราศีอะไร องศาเท่าไรแล้ว จุดที่พระอาทิตย์นั้นสถิตถือว่าเป็นตำแหน่งของขอบฟ้าด้านทิศตะวันออกหรือขอบฟ้ายามรุ่งเช้า และเมื่อเวลาผ่านไปในแต่ละวันโลกของเรานั้นก็จะหมุนรอบตัวเองจากรุ่งเช้าไปสู่ช่วงเที่ยง ช่วงเย็น ช่วงค่ำ และช่วงดึก ดังนั้นช่วงเวลาเช่นนี้เองจึงเป็นที่มาของลัคนา

          ลัคนานั้นก็คือจุดที่พระอาทิตย์ตกกระทบโลก โดยเริ่มต้นที่ราศีที่พระอาทิตย์สถิตอยู่ แล้วจะเคลื่อนไล่ไปราศีละ 2 ชั่วโมง จนวนกลับมาที่เดิมอีกครั้งหนึ่งครบ 12 ราศีหรือ 24 ชั่วโมง นั่นย่อมเท่ากับโลกหมุนรอบตัวเองแล้วครบแล้ว 1 วัน ดังนั้นภายใน 1 วันก็จะมีคนถือกำเนิดมาต่างราศีกัน

          ยกตัวอย่างเช่น ถ้าพระอาทิตย์สถิตอยู่ในราศีกรกฏ แล้วเจ้าชะตาถือกำเนิดในช่วงที่พระอาทิตย์เริ่มขึ้นจับขอบฟ้าใหม่ๆ คนผู้นั้นก็จะถือว่ามีลัคนาสถิตอยู่ที่ราศีกรกฏ หรือถ้าเจ้าชะตาถือกำเนิดในช่วงที่พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน คนผู้นั้นก็จะมีลัคนาสถิตอยู่ที่ราศีมังกร อันเป็นราศีตรงข้ามกับพระอาทิตย์เป็นต้น

          ส่วนในโหราศาสตร์ของบ้านเรานั้นจะนิยมใช้วิธีหาลัคนาอันเป็นที่นิยมด้วยกัน 2 วิธีคือ
แบบอันโตนาทีสุริยยาตร์ กับแบบใช้เวลานักษัตรตัดอายนางศะ ซึ่งมีข้อแตกต่างกันบ้างในการหาลัคนาดังนี้

         1. การหาลัคนาแบบอันโตนาทีสุริยยาตร์ การหาลัคนาในแบบนี้ท่านมองว่ากลุ่มดาวฤกษ์แต่ละกลุ่มที่ใช้แทนจักรราศีนั้นมีความสั้นยาวไม่เท่ากัน ฉะนั้นระยะเวลาในแต่ละราศีที่โลกหมุนผ่านนั้นย่อมมีระยะเวลาที่แตกต่างกัน สั้นบ้างยาวบ้างตามความสั้นยาวของแต่ละราศี

         ดังนั้นบางราศีอาจจะมีระยะเวลาถึง 2 ชั่วโมงกว่า บางราศีมีระยะเวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมง ตามความสั้นยาวของแต่ละราศี โดยวิธีนี้มักจะนิยมใช้กับปฏิทินแบบสุริยยาตร์เป็นหลัก

          2. การหาลัคนาแบบใช้เวลานักษัตรตัดอายนางศะ การหาลัคนาในแบบนี้มองว่าพระอาทิตย์ขึ้นในองศาของราศีใดราศีหนึ่ง และตกจากขอบฟ้าในเวลาใด จุดองศาของราศีที่ตรงกันข้ามกับราศีที่พระอาทิตย์ขึ้นนั้นจะเป็นที่สิ้นสุดของภาคกลางวัน (ส่วนที่เหลือจะเป็นเวลาในภาคกลางคืน)

           โดยมองว่าในแต่ละวันนั้นเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นกับเวลาที่พระอาทิตย์ตกนั้นมีเวลาไม่เท่ากันในแต่ละฤดู อย่างในหน้าร้อนช่วงเวลากลางวันจะมีมากกว่าเวลากลางคืน หรือในช่วงฤดูหนาวช่วงเวลากลางวันนั้นก็จะสั้นกว่าช่วงเวลากลางคืนเป็นต้น

          ดังนั้นการหาลัคนาในวิธีนี้จึงนิยมใช้เวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นและตกจริงเป็นหลักในการหาลัคนา ด้วยการเอาเวลาในแต่ละช่วงมาหารช่วงละ 6 ราศีเฉลี่ยกันไป ส่วนท่านที่เกิดในเวลากลางคืนก็จะนับตั้งแต่ช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปจนถึงพระอาทิตย์กลับมาขึ้นอีกครั้ง แล้วก็เอา 6 ราศีหารเช่นกันเพื่อแบ่งหาลัคนา

          การหาลัคนาในแบบตัดเวลานักษัตรนี้มักจะนิยมใช้กับปฏิทินโหราศาสตร์ในแบบลาหิรี ซึ่งได้รับอิทธิพลของปฏิทินมาจากประเทศอินเดียนั่นเอง

           เมื่อได้ลัคนาแล้วนักโหราศาสตร์ก็จะหาเรือนต่างๆ ทั้ง 12 เรือนเพื่อนำมาใช้ในการทำนายดวงชะตาได้ โดยจะเริ่มต้นที่เรือนตนุ (ลัคนา), กฏุมภะ, สหัชชะ, พันธุ, ปุตตะ, อริ, ปัตนิ, มรณะ, ศุภะ, กรรมะ, ลาภะและวินาส จนครบ 12 เรือนเพื่อนำมาวิเคราะห์การทำนายเรื่องราวในดวงชะตาของผู้นั้น

          ปัญหาอีกข้อซึ่งมีหลายท่านเกิดความสงสัยกันเป็นอย่างมากในการดูคำทำนายตามนิตยสารหรือหนังสือพิมพ์ต่างๆ ว่าเวลาที่จะดูผลการทำนายนั้นจะดูอย่างไร ว่าเป็นชาวราศีอะไร

          ในนิตยสารหรือในหนังสือพิมพ์นั้น หมอดูส่วนใหญ่จะไม่สามารถมาเจาะจงได้ว่าคุณกำเนิดหรือมีลัคนาอยู่ในราศีอะไร เพราะเป็นการยุ่งยากและเฉพาะตนมาก ดังนั้นเขาจึงมักนิยมใช้ตำแหน่งของพระอาทิตย์ในดวงกำเนิดของแต่ละท่านแทน เพื่อเป็นหลักในการทำนาย วิธีนี้เรียกว่า “ซันไซน์ (SUN SIGN)”

           นี่เองจึงทำให้เกิดความสับสนเวลาไปดูดวง แล้วหมอดูกล่าวว่าเป็นชาวราศีนั้นราศีนี้ แล้วก็มักจะเกิดความสงสัยว่า ทำไมไม่ตรงกับความรู้เดิม

           นั่นก็เพราะความเข้าใจเดิมที่ไม่ค่อยมีความรู้ทางโหราศาสตร์มักเข้าใจว่า ถ้าเราเกิดในช่วงเดือนใดเราก็จะเป็นชาวราศีนั้น แต่ในทางโหราศาสตร์แล้วถ้าจะพิจารณาให้ละเอียดเจาะลึกแยกดวงชะตาบุคคลแล้ว แม้ว่าคนผู้นั้นจะถือกำเนิดในเดือนเดียวกันก็ตาม แต่ลัคนาของเขาในแต่ละวันนั้นแต่ละชั่วโมงนาทีนั้นจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเพราะการทำนายแบบซันไซน์นั้นจะเป็นการทำนายแบบกว้างๆ โดยเอาเดือนเกิดที่พระอาทิตย์สถิตในราศีมาทำนายแบบกว้างๆ ส่วนการหาลัคนาในแต่ละวันนั้นจะเป็นการทำนายแบบเจาะลึก โดยมองว่าแม้ภายในเดือนนั้นพระอาทิตย์จะสถิตอยุ่ในราศีใดก็ตาม คนที่ถือกำเนิดมาในเดือนนั้นๆ ย่อมมีความแตกต่างกัน

          ดังนั้นจึงซอยย่อยลงไปเพื่อหาจุดวิเคราะห์ให้ลึกลงไปอีก โดยเอาองศาที่พระอาทิตย์สถิตในเดือนนั้นๆ มาเป็นตัวตั้ง แล้วเอาการหมุนรอบตัวเองของโลก 1 รอบ (12 ราศี) มาหารแบ่งออกเป็นลัคนาต่างๆ ถึง 12 ราศี จนเกิดความแตกต่างของดวงชะตาคนแบบละเอียดลงไปอีกมากมาย

          ลัคนานั้นจะแสดงความเป็นไปและบุคลิกลักษณะของเจ้าชะตาที่แตกต่างกันไปด้วย ยกตัวอย่างเช่น คนที่มีลัคนาสถิตในราศีเมษ คนผู้นั้นก็จะมีบุคลิกที่ไม่อยู่นิ่ง มักชอบการเป็นผู้นำแบบชอบการริเริ่มใหม่ๆ, ถ้าลัคนาสถิตราศีสิงห์ คนผู้นั้นก็จะมีบุคลิกลักษณะคล้ายกับสิงโต ชอบความท้าทาย ชอบเป็นผู้นำ รักความโอ่อ่าสะดวกสบาย, ถ้าลัคนาสถิตราศีกันย์ คนผู้นั้นย่อมมีบุคลิกลักษณะเป็นผู้ชอบการแก้ไขปัญหา มีนิสัยรอมชอมรู้จักรับฟังปัญหาของผู้อื่น อีกทั้งยังมีนิสัยคล้ายๆ กับสตรีอีกด้วยเป็นต้น

           คราวนี้คงเลิกสงสัยระหว่างลัคนากับซันไซน์ ว่าแตกต่างกันเช่นไร เพราะบางครั้งเราไปฟังคนที่เรียนโหรมาเราจะงง เวลาเขาพูดว่าเขาเกิดในเดือนนั้นเดือนนี้ แต่ทำไมเขาบอกว่าเขาเป็นชาวราศีอีกราศีหนึ่งซึ่งไม่ใช่เป็นราศีที่เขาเกิดเหมือนอย่างที่เราเข้าใจ

ที่มาจาก http://www.horamahawed.com/content.php?cate=astrology_langauge&id=13

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น