ดำเนินความตามคัมภีร์เฉลิมไตรภพ ตำนานการอุบัติของดาวเคราะห์มีความว่า เมื่อโลกถูกไฟบรรลัยกัลป์เผาผลาญ เหลือแต่ความว่างเปล่า บรรดาพระเวท พระธรรมศาสตร์ต่างได้รวมกันเข้า บังเกิดเป็นพระอิศวรผู้เป็นเจ้า พระอิศวรจึงทรงดำริการที่จัดสร้างโลกขึ้นใหม่ ให้บังเกิดมี มนุษย์ สัตว์ และพืช ขึ้นโดยครบครัน เบื้องแรกให้ทรงจัดสร้างนางอุมาภควดี พระนารายณ์ และพระพรหมธาดาขึ้นก่อน เพื่อเป็นผู้ช่วยเหลือในการพัฒนาโลกยุคใหม่ จากนั้นก็ทรงสำรอกพระมังสะออกจากอุทร บันดาลให้เป็นพื้นแผ่นดิน แล้วทรงถอดพระจุฑามณีออกจากพระเกศา ทรงบันดาลให้เป็นเขาสุเมรุราช และบันดาลให้เกิดธาตุทั้งปวงขึ้นในโลกโดยบริบูรณ์ ครั้นนั้นโลกก็ประกอบด้วยพืชและสรรพสัตว์เกิดขึ้นเป็นอันมาก บังเกิดฝนตกลงมาห่าใหญ่ พอฝนหายแล้ว ลมก็หอบเอาไอดินหอมขึ้นไปถึงชั้นพรหมโลก พวกพรหมที่อยู่ในชั้นพรหมโลก ซึ่งมิได้ถูกกระทบกระเทือนจากผลที่ไฟบรรลัยกัลป์ไหม้โลด หอมกลิ่นกระไอดิน ก็บังเกิดความอยากเสพกินง้วนดิน จึงแปลงเพศเป็นนางพรหมรวม ๗ องค์ ลงมากินง้วนดิน
เมื่อนางพรหมจำแลงทั้ง ๗ องค์ ได้กินง้วนดินเข้าไปแล้ว เทพบุตรและเทพธิดา ก็จุติลงมาเกิดในครรภ์นางพรหมทั้ง ๗ นั้น ภายหลังได้คลอดบุตรออกมาเป็นชาย ๑ คน เป็นหญิง ๖ คน อันเป็นปฐมวงศ์ของมนุษย์ในโลกเรานี้ ครั้งนั้นมนุษย์มีแสงกายสว่าง มิต้องอาศัยแสงสว่างจากอาทิตย์หรือจันทร์ ต่อมาเมื่อเสพกินอาหารที่หยาบช้าหนักเข้า รัศมีแสงสว่างที่เปล่งออกจากตัว จึงเสื่อมซาสูญเสียหายไป มนุษย์เหล่านั้นก็พากันตกใจกลัวต่อความมืด
พระอิศวรผู้เป็นเจ้าจึงทรงเทวดำริว่า เมื่อโลกมีมนุษย์และสัตว์บังเกิดขึ้นมากแล้ว สมควรจัดให้มีแสงสว่างส่องโลก ให้เป็นประโยชน์กับสัตว์โลกสืบต่อไป จึงได้ตั้งไว้ซึ่งจักรราศี ๑๒ ราศี ประกอบด้วยดาวฤกษ์ ๒๗ ฤกษ์ มีวิมานนพเคราะห์ ๙ วิมาน เวียนรอบจักรราศีตามกำหนดเวลา แล้วทรงบันดาลให้เกิดสัตว์เดรัจฉาน ๑๒ นักษัตรขึ้นเป็นนามปีดังนี้ คือ
๑. หนู นามปีชวด ๗. ม้า นามปีมะเมีย
๒. วัว นามปีฉลู ๘. แพะ นามปีมะแม
๓. ฉลู เสือ นามปีขาล ๙. ลิง นามปีวอก
๔. กระต่าย นามปีเถาะ ๑๐. ไก่ นามปีระกา
๕. งูใหญ่ นามปีมะโรง ๑๑. สุนัข นามปีจอ
๖. งูเล็ก นามปีมะเส็ง ๑๒. หมู นามปีกุน
ต่อมานั้นได้ทรงสร้างเทพยดานพเคราะห์ขึ้นคือ
สร้างพระอาทิตย์ (๑) จากราชสีห์ ๖ ตัว (พระอาทิตย์ (๑) จึงมีกำลัง ๖) ทรงราชสีห์เป็นพาหนะ
สร้างพระจันทร์ (๒) จากนางฟ้า ๑๕ (พระจันทร์ (๒) จึงมีกำลัง ๑๕) มีม้าเป็นพาหนะ
สร้างพระอังคาร (๓) จากกระบือ ๘ ตัว (พระอังคาร (๓) จึงมีกำลัง ๘) มีกระบือเป็นพาหนะ
สร้างพระพุธ (๔) จากช้าง ๑๗ ตัว (พระพุธ (๔) จึงมีกำลัง ๑๗) มีช้างเป็นพาหนะ
สร้างพระพฤหัสบดี (๕) จากฤาษี ๑๙ ตน (พระพฤหัสบดี (๕) จึงมีกำลัง ๑๙) มีกวางทองเป็นพาหนะ
สร้างพระศุกร์ (๖) จากโค ๒๑ ตัว (พระศุกร์ (๖) จึงมีกำลัง ๒๑) มีโคเป็นพาหนะ
สร้างพระเสาร์ (๗) จากเสือ ๑๐ ตัว (พระเสาร์ (๗) จึงมีกำลัง ๑๐) มีเสือเป็นพาหนะ
สร้างพระราหู (๘) จากหัวผีโขมด ๑๒ หัว (พระราหู (๑๒) จึงมีกำลัง ๑๒) มีครุฑเป็นพาหนะ
สร้างพระเกตุ (๙) จากพญานาค ๙ ตัว (พระเกตุ (๙) จึงมีกำลัง ๙) มีนาคเป็นพาหนะ
พระอิศวรผู้เป็นเจ้า จึงทรงจัดให้เทวดานพเคราะห์ทั้ง ๙ นั้น ตระเวนเวียนรอบจักรราศี เป็นสิ่งซี่งสำหรับบอกความเป็นไปดีร้ายแก่มวลมนุษย์ และสรรพสิ่งในโลกสืบไป โดยมีเขาพระสุเมรุราชเป็นหลักของโลก เทวดาพระเคราะห์ทั้ง ๙ ก็โคจรเวียนรอบเขาสุเมรุราช ตามจักรราศีโดยระยะกำหนดใกล้ไกล ตามควรแก่กำลังยานพาหนะที่ทรงนั้น
และพระอิศวรผู้เป็นเจ้าทรงปรารภว่า เขาพระสุเมรุราชประกอบด้วย เหลี่ยมใหญ่ประจำทิศทั้ง ๘ ยังไม่มีผู้ใดรักษา จึงทรงมอบให้ พระอาทิตย์ (๑) รักษาทิศอีสาน พระจันทร์ (๒) รักษาทิศบูรพา พระอังคาร (๓) รักษาทิศอาคเณย์ พระพุธ (๔) รักษาทิศทักษิณ พระเสาร์ (๗) รักษาทิศหรดี พระพฤหัสบดี (๕) รักษาทิศประจิม พระราหู (๘) รักษาทิศพายัพ พระศุกร์ (๖) รักษาทิศอุดร ส่วนพระเกตุ (๙) นั้นมิได้มีหน้าที่รักษาทิศใดคงเป็นเพียงประจำอยู่ในทิศท่ามกลาง
บางตำรากล่าวว่าเมื่อองค์ศิโรชะจะแบ่งปันให้เทวดาอัฐเคราะห์รักษาทิศนั้น ได้ตั้งต้นที่ทิศทักษิณก่อน ได้ให้เทวดาพระเคราะห์ทั้ง ๘ นั้นทับทิศ ตั้งต้นแต่ทิศทักษิณเป็นต้นไปเท่ากับกำลังของตน โดยทางทักษิณาวัตร คือเวียนขวา จากทักษิณไปหรดี เช่นพระอาทิตย์มีกำลัง ๖ ก็ให้นับแต่ทิศทักษิณไปโดยทางทักษิณาวัตร คือเวียนขวา จากทักษิณไปหรดี เมื่อถึงทิศอิสานก็ได้ ๖ เท่ากับกำลังของพระอาทิตย์ ดังนั้นพระอาทิตย์ (๑) จึงต้องประจำอยู่ที่ทิศอิสาน และพระจันทร์มีกำลัง ๑๕ ก็ให้นับแต่ทิศทักษิณ ไปจนครบ ๑๕ เท่ากับกำลังของพระจันทร์ ก็ตกทิศบูรพา เท เทวดาองค์อื่นก็นับไปแต่ทิศทักษิณเวียนไปทางหรดี เท่ากับกำลังพระเคราะห์เหมือนกัน จึงได้เข้าประจำอยู่ในทิศทั้ง ๘ ตามที่กล่าวมาแล้ว เป็นปฐมเหตุให้เกิดภูมิพยากรณ์ และตำรามหาทักษาที่สำหรับใช้พิจารณาชาตาชีวิตในวิชชาโหราศาสตร์เบื้องต้น อันได้แก่วิชชาหมอดูนั่นเอง
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย (ทำไมต้องใช้สังข์ในงานมงคลต่าง ๆ)
แล้วพระพรหมธาดา จึงบัญญัติตำราโหราศาสตร์ ขึ้นสำหรับโลก ตำรานั้นประกอบไปด้วยวิชาหลายอย่าง เรียกแต่บทสำคัญ ๆ ว่า พระเวทพระธรรมศาสตร์ มีเรื่องเล่ามาตอนหนึ่งว่า เมื่อพระพรหมธาดาแต่งตำราเสร็จแล้ว จึงได้นำไปถวายพระอิศวรเป็นเจ้านั้น บังเอิญให้ร้อนพระกายยิ่งนัก พระพรหมธาดาจึงเสด็จลงสรงน้ำในพระมหาสมุทร มีพรหมองค์หนึ่งริษยาพระพรหมธาดาจุติลงมาเกิดเป็นยักษ์หอยสังข์อยู่ในมหาสมุทร มีนามว่า สังขรอสูร สังขรอสูรเห็นพระพรหมธาดาลงสรงน้ำในพระมหาสมุทร และเอาคัมภีร์พระเวทพระธรรมศาสตร์วางไว้ริมฝั่งพระมหาสมุทร ก็คิกแกล้งพระพรหมธาดาเพื่อไม่ให้ได้สั่งสอนโลกต่อไป จึงใช้ผีเสื้อน้ำไปลักเอาคัมภีร์ไปให้มัน แล้วสังขรอสูรจึงเอาคัมภีร์พระเวทพระธรรมศาสตร์นั้นซ่อนไว้ในอกของมัน เมื่อพระพรหมธาดาขึ้นจากน้ำไม่เห็นคัมภีร์ก็ทรงพระพิโรธยิ่งนัก จนไม่สามรถจะเล็งญาณดูให้รู้ว่าพระคัมภีร์นั้นหายไปได้อย่างไรจึงเสด็จขึ้นไปเฝ้าพระอิศวรเป็นเจ้า พระอิศวรเป็นเจ้าจึงโปรดให้พระนารายณ์ไปปราบสังขรอสูร ครั้งนั้นพระนารายณ์อวตารเป็นปลากรายไปปราบสังขรอสูร มีพระนามว่าพระมัจฉาอวตาร เมื่อได้ชัยชนะแล้ว จึงทรงแหกอกสังขรอสูรออก แล้วเอาคัมภีร์พระเวทธรรมศาสตร์และทรงสาปว่า ถ้าผู้ใดจะทำการมงคลทั้งปวงให้สังข์เป็นเครื่องหลั่งน้ำพระพุทธมนต์ ให้เป็นสวัสดิมงคลประการ ๑ ถ้าเป่าสังข์ให้เกิดสวัสดิมงคลจะสุดเสียงประการ ๑ ด้วยเหตุว่าสังข์ประกอบด้วยมงคลสามประการคือ จุติลงมาเกิดแต่พรหมโลกประการ ๑ อกเคยทรงคัมภีร์พระเวทพระธรรมศาสตร์ประการ ๑ ต้องพระหัตถ์พระนารายณ์เป็นเจ้าประการ ๑ แล้วจึงนำคัมภีร์พระเวทพระธรรมศาสตร์ไปถวามพระอิศวรเป็นเจ้า
ที่มาจาก หนังสือ โหราศาสตร์ปริทรรศน์ ภาค ๑ ฉบับมาตรฐาน ของอาจารย์เทพย์ สาริกบุตร
หนังสือ ตำราพรหมชาติ สำหรับประชาชน ของ พ.สุวรรณ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น